สัมภาษณ์ คุณซุง ชง ทอย ประธานบริษัท Shrinkflex บริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์อันดับหนึ่งของประเทศไทย
มีคนเคยกล่าวว่าเวลาสร้างโอกาส และทุกยุคทุกสมัยย่อมมีผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกที่ประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น และมีชีวิตที่ไม่ธรรมดาด้วยความกล้าหาญและสติปัญญาของตนเอง แม้ว่าเส้นทางสู่ความสำเร็จจะแตกต่างกัน แต่ทุกคนก็มีความกล้าหาญร่วมกัน ในปี 2553 เศรษฐกิจของประเทศไทยพัฒนาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการเป็นหนึ่งใน "สี่เสือแห่งเอเชีย" เท่านั้น แต่ยังกลายเป็นหนึ่งในประเทศอุตสาหกรรมใหม่ระดับโลกและเป็นหนึ่งในตลาดที่เกิดใหม่ซึ่งดึงดูดผู้มีความสามารถที่โดดเด่นจำนวนมากให้เข้ามาและพัฒนาประเทศต่อไป
มกราคม 2533 คุณไมเคิลเดินทางมาประเทศไทย เมื่อเขามาถึงประเทศไทยครั้งแรก อาชีพของเขาไม่ได้ราบรื่นเท่าไหร่นัก ในฐานะนักธุรกิจต่างชาติ ปัญหาแรกที่เขาเผชิญคือภาษา คุณไมเคิลเกิดในตระกูลชาวจีนและเติบโตขึ้นมาในภูมิหลังที่หลากหลาย เขาเชี่ยวชาญทั้งภาษาจีนกลาง ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาอังกฤษ และภาษาอื่นๆ แต่เขาไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ แต่เขาไม่ย่อท้อและเลือกที่จะตั้งรกรากเพื่อเอาชนะปัญหาทางภาษา เขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งปีในการสื่อสารภาษาไทย ทำให้เขาเปิดเส้นทางสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์ในการผลิตและให้บริการทางด้านฉลากฟิล์มหดรัดรูปในประเทศไทย
ในปี 2549 คุณไมเคิลได้เดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานแห่งหนึ่งในประเทศจีน ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งทางธุรกิจ เขาได้ค้นพบโอกาสทางธุรกิจในอุตสาหกรรมฟิล์มหดรัดรูป ประเทศไทยในขณะนั้นผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ใช้เครื่องหมายการค้าสติกเกอร์ ซึ่งจุดนี้เองทำให้เขาแรงบันดาลใจและทำให้เขาตัดสินใจสร้างโรงงานในประเทศไทย แต่ในช่วงสองสามปีแรก โรงงานเกิดการประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งทำให้คุณไมเคิลต้องเผชิญภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอีกครั้ง เขาไม่ได้จบการศึกษาจากคณะการบริหารจัดการ แต่เขาพบข้อบกพร่องของเขาและเริ่มเรียนรู้ด้วยตนเองใหม่ เพื่อเปลี่ยนสถานการณ์ ในฐานะผู้นำของบริษัท เขาต้องเรียนรู้และคุ้นเคยกับหน้าที่รับผิดชอบงานของแต่ละแผนก ตั้งแต่ฝ่ายขายไปจนถึงฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ แล้วเขาสรุปประสบการณ์ในการฝึกอบรมพนักงานของเขาเอง เขาปฏิบัติตามวิธีการจัดการของ "คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ" และได้กำหนดคะแนนธุรกิจของตนเองจากสี่ด้าคือ "ราคา คุณภาพ การจัดการ และความสัมพันธ์" นอกจากนี้ เขายังใช้ความคิดที่กล้าหาญและมองการณ์ไกล โดยใช้เวลาสั้นๆเพียงสี่ปีนำพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ทุกวันนี้เทคโนโลยีฟิล์มหดรัดรูปได้ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายในบรรจุภัณฑ์ของอาหารจานด่วน เครื่องดื่ม ของใช้ในชีวิตประจำวัน เครื่องสำอาง ฯลฯ ในตลาดของประเทศไทยและแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณสามารถเห็นบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตโดยบริษัท "Shrinkflex" และบริษัทได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นผู้นำด้านการผลิตและให้บริการทางด้านฉลากฟิล์มหดรัดรูป
ManGu: ได้ยินมาว่าคุณเกิดในครอบครัวชาวจีน คุณเติบโตมาอย่างไรคะ?
Michael : ผมเกิดในครอบครัวชาวจีน พ่อแม่ของผมมาจากฝูเจี้ยน ประเทศจีน ส่วนผมเกิดที่ฮ่องกง ประเทศจีน ผมอาศัยอยู่ที่ฮ่องกงจนอายุประมาณ 10 ขวบ ครอบครัวของผมย้ายไปฟิลิปปินส์เมื่อผมอายุประมาณ 12 ปี ต่อมา ผมเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย Mapua ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งผมเรียนเอกวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ผมvอยากออกไปทำธุรกิจของตัวเอง ผมจึงไปทำงานที่ฮ่องกงก่อนเป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อที่จะเก็บเงิน ผมลองทำงานต่างๆ เช่น ขายรองเท้า พนักงานโทรศัพท์ และการขายในโรงงานพลาสติก แล้วมาเมืองไทยเพื่อพัฒนา นับได้ว่าผมใช้ชีวิตในเมืองไทยมามากกว่า 30 ปีแล้วครับ
ManGu: ตอนนั้นปัจจัยอะไรทำให้คุณทำงานหนักที่จะเก็บเงินและนำเงินไปพัฒนาต่อที่ประเทศไทย
Michael : ผมมาเมืองไทยในเดือนมกราคม 2533 ตอนนั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงของการพัฒนาอย่างรวดเร็ว ผมเลยตัดสินใจมา สมัยนั้นก็มีคำกล่าวที่ว่า "ประเทศไทยคือแฟรงก์เฟิร์ตในเยอรมนี และเป็นศูนย์กลางการพัฒนาของประเทศลาว เวียดนาม มาเลเซีย จีน สิงคโปร์ และประเทศอื่นๆ" ที่สำคัญคือตอนนั้นประเทศไทยค่อนข้างจะไม่ค่อยมีวิศวกรมืออาชีพผมจึงเห็นโอกาสนี้เลยตัดสินใจมาเมืองไทยเพื่อพัฒนา
ManGu: อะไรคืองานแรกของคุณเมื่อคุณมาประเทศไทย?
Michael : เพราะผมพูดภาษาไทยไม่ได้ ผมว่างงานมาเกือบแปดหรือเก้าเดือนเมื่อมาถึงประเทศไทย ผมสามารถพูดภาษาอังกฤษ ภาษาฟิลิปปินส์ ภาษาจีนกลาง ภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาจีนฮกเกี้ยนได้ แต่ผมไม่สามารถพูดภาษาไทย ตอนนั้นผมรู้ดีว่าถ้าผมต้องการอยู่ในประเทศไทย ผมต้องเรียนภาษาไทย ผมจึงใช้เวลาแปดถึงเก้าเดือนในการเรียนภาษาไทย งานแรกในประเทศไทยของผมอยู่ในโรงงานผลิตเครื่องจักรซึ่งเปิดโดยชาวไต้หวันแต่พวกเขาก็ย้ายไปแคนาดาไม่นานผมก็ตกงานอีกครั้ง หลังจากนั้นผมก็ตัดสินใจที่จะเริ่มธุรกิจของตัวเอง ในช่วงแรกๆของธุรกิจผมประกอบธุรกิจหลักในธุรกิจการจำหน่ายเครื่องจักร นำเข้าเครื่องจักรเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกมาที่ประเทศไทยเพื่อขาย ในขณะนั้นประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีนี้อย่างเร่งด่วน แต่ไม่มีตัวแทนจำหน่ายขายเครื่องจักรดังกล่าว พูดได้เลยว่าตอนนั้นผมเป็นคนเดียวที่ทำธุรกิจนี้ และไม่มีคู่แข่ง จึงมีช่องว่างให้พัฒนาอีกมาก แต่ตอนนั้นผมอายุเพียง 24 ปี และลูกค้าส่วนใหญ่คิดว่าฉันยังเด็กเกินไปและไม่เชื่อใจผมมากเกินไปเพราะกลัวว่าผมจะโกงเงินพวกเขา แต่สุดท้ายเราก็ได้รับการยอมรับจากลูกค้าของเราด้วยทัศนคติที่จริงใจและจริงจังและเริ่มไว้วางใจเราและได้ร่วมมือกับเราในที่สุด
ManGu : คุณเชี่ยวชาญภาษาจีนกวางตุ้ง ภาษาอังกฤษ และภาษาจีนกลาง ซึ่งสามารถพัฒนาที่ฮ่องกงได้ แต่สำหรับคนที่พูดภาษาไทยไม่ได้แต่เลือกที่จะตัดสินใจมาพัฒนาที่ประเทศไทยเรียกว่าเป็นสิ่งที่ท้าทายและกล้าหาญ ปัจจัยอะไรที่ทำให้คุณมุ่งมั่นในตัดสินใจมาประเทศไทยคะ?
Michael : จริงๆ แล้วผมมาเมืองไทยครั้งหนึ่งก่อนที่จะมาทำงานที่นี่ ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นมิตรของคนไทย และในยุคนั้นประเทศไทยมีศักยภาพและโอกาสในการพัฒนามากกว่าประเทศอื่นๆ ผมเติบโตและเรียนที่ประเทศฟิลิปปินส์ และครอบครัวของผมยังคงอาศัยอยู่ที่ฟิลิปปินส์ เรามีธุรกิจครอบครัวของตัวเองในฟิลิปปินส์ ซึ่งบริหารงานโดยน้องชายของผม เมื่อผมยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย ผมคิดว่าในอนาคตผมจะไม่พัฒนาธุรกิจในประเทศฟิลิปปินส์ แต่ผมต้องออกไปเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองโดยอิสระ ดังนั้น หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย ผมก็ตรงไปฮ่องกงเพื่อทำงานอย่างหนัก แล้วไปที่ประเทศไทยไทยเพื่อทำเริ่มต้นธุรกิจ
ManGu :คุณประสบความสำเร็จในการจดทะเบียนบริษัทใช้เวลาเพียง 3-4 ปี บริษัทของคุณสามารถก้าวกระโดดครั้งใหญ่ คุณคิดว่าอะไรสามารถนำพาบริษัทให้ไปถึงจุดนั้นได้
Michael :ผมมักจะนึกถึงสิ่งที่สามารถนำมาให้ลูกค้าได้นั้นคือ "คุณค่าของลูกค้า" เป็นแนวคิดหลักในการพัฒนาของเรา โดยควบคุม "ราคา คุณภาพ การจัดการ ความสัมพันธ์" อย่างเคร่งครัด และกำหนดจุดทั้งสี่นี้เป็นกลไกการให้คะแนนสำหรับแต่ละโครงการ ตัวอย่างเช่น ขณะนี้เรามีคู่แข่ง การเสนอราคาของอีกฝ่ายอาจสูงกว่าหรือเท่ากับของเรา แต่คุณภาพของเราดีกว่าคู่แข่ง เราจะวิเคราะห์และให้คะแนน บางทีเราอาจได้ 2 คะแนน แต่ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเราจะได้อีก 2 คะแนน เราจะนำวิธีนี้ไปใช้กับธุรกิจหลาย ๆ ด้าน นอกเหนือจากการวิเคราะห์แล้วยังช่วยให้เตรียมการล่วงหน้าได้ย่างหลากหลาย นอกจากนี้ ปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อมก็มีความสำคัญมากเช่นกันในการพัฒนาวิสาหกิจ และเราจะให้ความสนใจกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยทั้งสองนี้เสมอ
ManGu: คุณคิดว่าจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของบริษัทคุณคืออะไรคะ?
Michael : การทำงานเป็นทีมที่ดี การที่จะจะบรรลุผลสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถส่วนบุคคลเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยการทำงานเป็นทีมที่ดีด้วย เมื่อสร้างทีม คุณอาจต้องการบุคลากรจากหลายแผนก เช่น ฝ่ายขาย ฝ่ายผลิต และฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ ดังนั้น ผมต้องการให้พนักงานเข้าใจหน้าที่ของแต่ละแผนก และรู้กระบวนการทำงานของกันและกัน แทนที่จะรู้เพียงเรื่องเดียวกัน เพื่อให้พนักงานมีการพัฒนาที่ดีขึ้น ผมจะดูแลพนักงานในแต่ละแผนกและพยายามฝึกฝนให้ดีที่สุด พนักงานของบริษัทของเรามีความหลากหลายมาก ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของบริษัทเราด้วย เราประสบความสำเร็จในการจดทะเบียนบริษัทเมื่อปีที่แล้ว (2564)
ManGu: คุณมาบริหารและจัดการแต่ละแผนกด้วยตัวเองหรือเปล่าคะ ?
Michael : ผมจะเรียนรู้และเข้าใจความรู้ที่แต่ละแผนกต้องการ แต่ผมจไม่ะก้าวก่ายในการทำงานของพนักงานมากเกินไป เพราะแต่ละแผนกมีผู้จัดการของตัวเอง ผมจะมีส่วนร่วมในการพัฒนาแต่ละแผนก ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายผลิต ฝ่ายขาย และทีมผู้บริหารระดับสูง ผมจะมีส่วนร่วมในนั้นและนำพวกเขาไปสู่ความก้าวหน้าร่วมกัน
ManGu: เมื่อบริษัทประสบปัญหาหรือวิกฤต คุณจะแก้ไขอย่างไรคะ?
Michael: ในอดีต ตอนที่ผมพบปัญหา ผมจะวิเคราะห์และแก้ไขทันทีโดยไม่ปล่อยให้ปัญหาคงอยู่เป็นเวลานาน แต่ตอนนี้เราไม่ได้แก้ปัญหาแต่ป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น เราไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทุกครั้ง เราต้องเรียนรู้ ที่จะป้องกันปัญหา นี่ก็เป็นจุดสำคัญมากเช่นกัน หากเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาขึ้นได้ เราก็สามารถใช้เวลานี้จัดการกับสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้น
ManGu: ในช่วงสถานการณ์โควิด19ที่ผ่าน ธุรกิจของบริษัทคุณได้รับผลกระทบหรือไม่?
Michael: บริษัทของเราไม่เป็นไร อัตราการเติบโตของปีที่แล้วอยู่ที่ 10% และอัตราการเติบโตในปีนี้สูงถึง15-20% เนื่องจากธุรกิจหลักของเราคือการผลิตฉลากฟิล์มหดด้วยความร้อน ผลิตภัณฑ์นี้จึงมักใช้ในบรรจุภัณฑ์ด้านนอกของอาหาร เครื่องดื่ม และเครื่องสำอาง จึงไม่มีผลกระทบเฉพาะใดๆ แต่เราไม่สามารถพึ่งพาการขายผลิตภัณฑ์ประเภทใดประเภทหนึ่งได้ทั้งหมด เช่น ในธุรกิจเครื่องดื่ม การขายเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้มักจะดีขึ้นในฤดูร้อน และตลาดนมส่วนใหญ่อยู่ในโรงเรียน ในกรณีเครื่องสำอาง ประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ลดลง เนื่องจากทุกคนเลือกที่จะสวมหน้ากากอนามัยในช่วงที่มีโรคระบาด แน่นอนว่าบางธุรกิจมีการพัฒนาที่ดีขึ้น เช่น สิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน การพัฒนาธุรกิจเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน แผนของเราคือเป็นบริษัทสิ่งที่ดีที่สุดในเอเชียใน 6 ถึง 7 ปี เนื่องจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีฐานประชากรขนาดใหญ่ เช่น จีน อินเดีย และอินโดนีเซีย ล้วนเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่น ประการที่สอง ประเทศไทยอยู่ใกล้กับประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ เวียดนาม) และจนถึงขณะนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดที่สามารถทดแทนฉลากฟิล์มหดด้วยความร้อนได้ ดังนั้นความต้องการผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในประเทศต่างๆ จะยังคงเติบโตต่อไป
ManGu: คุณเกิดในครอบครัวชาวจีนและเติบโตขึ้นมาในภูมิหลังหลากหลายวัฒนธรรม มีวัฒนธรรมไหนบ้างที่คุณประทับใจคะ ?
Michael : ส่วนใหญ่แบ่งออกเป็นสามส่วน การคิดแบบจีน การคิดแบบอเมริกัน และการคิดแบบไทย ประการแรก การคิดแบบจีนต้องทำงานหนักก่อน การคิดแบบอเมริกันคือความเท่าเทียม การคิดแบบไทยคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมจะรวมการคิด 3 แบบเข้าด้วยกัน มนุษย์ไม่เพียงแต่ต้องขยันหมั่นเพียรเท่านั้น แต่ยังต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือผู้อื่นและมีน้ำใจต่อผู้อื่นด้วย
ManGu: คุณคิดว่า SFT ส่วนแบ่งตลาดไทยเป็นอย่างไร?
Michael : เป็นอันดับที่สองเลยครับ อันที่จริงผมไม่สนใจการจัดอันดับเหล่านี้ แต่ให้ความสำคัญกับการทำอย่างดีที่สุด อย่างแรกคือมีบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมฉลากฟิล์มหดด้วยความร้อนมากว่า 70 ปี และอยู่ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี ผมหวังว่าบริษัทของเราสามารถพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์สาขาเพิ่มเติมเช่นพวกเขาในอนาคต ไม่ว่าคุณจะอยู่ในสาขาใด บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด และคุณไม่สามารถอยู่ที่จุดสูงสุดได้เสมอไป เพราะยิ่งคุณไปถึงที่สูงเท่าไหร่ คุณจะรู้สึกหนาวขึ้น และคุณจะพบกับสถานการณ์เช่นนี้เสมอ ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรให้ความสำคัญกับการวางแผนและการพัฒนาในระยะยาว เช่นเดียวกับการพัฒนาของอินเทอร์เน็ตที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว คุณต้องวางแผนล่วงหน้าและวางแผนสำหรับอีก 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า
ManGu: สำหรับการศึกษาเรื่องการบริหารเวลา คุณไมเคิลวางแผนและจัดเวลาอย่างไรคะ?
Michael : ก่อนอื่นคุณต้องตระหนักว่าทุกเวลามีค่า เวลาผ่านไปแล้วก็คือผ่านไป ผมไม่เคยเสียเวลาเปล่าประโยชน์เลย หากมีเวลาว่าง ผมจะเลือกอ่านหนังสือ ค้นหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือออกกำลังกาย เพื่อให้มีเวลาเพียงพอและสมดุลสำหรับชีวิตและการทำงาน ผมรักงานของผมมากและผมจะแก้ปัญหาที่พบย่างทันท่วงที ก่อนเกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 ผมมักจะให้เวลาตัวเองได้พักหรือบินไปฟิลิปปินส์เพื่ออยู่กับครอบครัวสักสองสามวันแล้วกลับมาทำงานหลังจากพักผ่อนให้เต็มที่
ManGu: ปกติแล้วถ้ามีเวลาว่างคุณจะทำอะไรคะ ?
Michael : ผมชอบการออกกำลังกาย ก่อนหน้านี้ผมเป็นนักกีฬา ดังนั้นผมจะไปขี่จักรยาน เล่นโบว์ลิ่งและว่ายน้ำ แต่เนื่องจากงาน ผมไม่สามารถจัดเวลาได้มากกว่านี้ ดังนั้นผมเลยชอบไปยิม
ManGu: คุณชอบอ่านหนังสือประเภทไหนมากที่สุด?
Michael : ไม่มีประเภทไหนที่ชอบที่สุด ประเภทหนังสือที่ผมอ่านค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นบันเทิง ไอที หนังสือการเมือง ทุกเช้าผมก็จะอ่านหนังสือพิมพ์ในตอนเช้าด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ เราต้องเรียนรู้ที่จะปรับปรุงฐานความรู้ของเราตลอดเวลา เนื่องจากผมเป็นผู้นำ ผมต้องเรียนรู้อย่างครอบคลุมมากขึ้น เพื่อที่ฉันจะได้มีวิธีแก้ปัญหามากขึ้นเมื่อเผชิญกับปัญหาและวิกฤตการณ์
Mangu:สุดท้ายมีอะไรอยากฝากบอกผู้อ่านคะ ?
Michael : ตอนที่ผมมาเมืองไทยครั้งแรก ผมถามพระภิกษุว่า "มีโชคในโลกไหม" เขาตอบว่า "ใช่ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับตัวคุณเองด้วย ถ้าไม่ทำงานหนัก คุณก็ไม่มี" หลังจากนี้ผมจะเก็บ "ความขยัน" ไว้ในใจ หากคุณมีงานหนัก 50% และโชค 50% จะเพิ่มเป็นร้อยคะแนน หากโชคของคุณไม่ดีนัก แต่คุณทำงานหนัก คุณจะได้ 50 คะแนน ดังนั้นต่อจากนี้ไป ไม่ว่าคนอื่นจะพูดว่าผมโชคไม่ดียังไง ผมก็อยากได้ 50 คะแนนจากการทำงานหนัก ผมอยากบอกผู้อ่านทุกคนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จด้วยโชคอย่างเดียว