ตำนานชีวิตสู่เส้นทางแฟชั่น
บทสัมภาษณ์สุดพิเศษของผู้ก่อตั้ง ISSUE THAILAND คุณภูภวิศ กฤตพลนารา (คุณโรจน์)
บนเวทีแฟชั่นของเมืองไทย มีดาวที่ส่องแสงแพรวพราวอยู่ 1 ดวง เขาคือ ภูภวิศ กฤตพลนรา (คุณโรจน์) ชื่อของเขาเปรียบได้กับไข่มุกเม็ดงามแห่งวงการแฟชั่น ด้วยความสามารถและผลงานอันโดดเด่นทำให้เขากลายเป็นตำนานของวงการแฟชั่นได้เจิดจรัสจนน่าอิจฉา
อย่างไรก็ตาม ชีวิตของคุณโรจน์ไม่ได้ราบรื่นไปเสียทั้งหมด พ่อของเขาเป็นพ่อค้าชาวจีน ทำอาชีพแท็กซี่และขายของเก่า และแม่ของเขาเป็นแม่ค้าขายปาท่องโก๋ ตั้งแต่วัยเด็กเขามีความสามารถในการวาดภาพ เส้นทางชีวิตของเขาเมื่อเข้าไทยวิจิตรศิลป ชีวิตเปลี่ยนกลายเป็นหัวโจก เป็นเด็กเกเร ทำทุกอย่างที่ครูห้าม ทั้งโดดเรียน และไล่ตีโรงเรียนอื่น อยู่ในวงจรนั้นมาหลายปี ทำให้เรียนจบช้าไปปีหนึ่ง
จนกระทั่งต่อมาเขาได้สมัครงานเป็นพนักงานขายที่เกรฮาวด์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของอาชีพของเขา ประสบการณ์ชีวิตของคุณโรจน์มีสีสันมากมาย เขาเติบโตมาในครอบครัวที่ฐานะไม่ค่อยดีนัก และในสมัยเรียนก็ได้รางวัลชนะเลิศจากการประกวดวาดภาพ ประสบการณ์ของเขาส่งผลต่อทัศนคติ ชีวิตและความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆอย่างสวยงาม การสร้างสรรค์งานศิลปะของเขาไม่ได้เป็นเพียงการแสวงหาคุณค่าในตนเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความรับผิดชอบในการสืบทอด และการพัฒนามาจากวัฒนธรรมจีนด้วย ผลงานของเขาสวยสะดุดตาแวววาวดุจไข่มุก
ในการสร้างสรรค์งานศิลป์ของคุณโรจน์นั้น เป็นการนำองค์ประกอบทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมมาผสมผสานอยู่เสมอ ด้วยอิทธิพลของวัฒนธรรมของจีน เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งและตระหนักดีถึงรากเหง้าและวัฒนธรรมของเขา จึงนำมารวมเข้ากับงานออกแบบของเขา เขานำเสนอผลงานที่ไม่เหมือนใครออกมาสู่สายตาผู้คนมากมาย การออกแบบของเขาเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความหลงใหล และบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งดึงดูดความสนใจและความรักของผู้คนอยู่เสมอ
งานแรกของเขาคือพนักงานขายเสื้อผ้าในบริษัท เกรฮาวด์ แม้ว่าเขาจะทำงานในร้านเพียง 6 เดือน แต่เขาสั่งสมประสบการณ์ด้านการออกแบบมาอย่างโชกโชน ต่อมาเขามีโอกาสย้ายสำนักงานเพื่อนำเสนองานและเข้าร่วมทีมแฟชั่นดีไซน์ในที่สุด ในเวลาเดียวกันเขาไปที่ตลาดนัดจตุจักรเพื่อเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ของตัวเอง ในวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้เขามีโอกาสมากขึ้นทั้งในด้านการเป็นผู้ประกอบการและการออกแบบ
ตลอดการทำงานด้านการออกแบบ คุณโรจน์ได้ทำการสำรวจ ทดลององค์ประกอบ และสไตล์การออกแบบที่แตกต่างกันอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เทรนด์แฟชั่นไปจนถึงวัฒนธรรมจีน จากชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ไปจนถึงชีวิตในชนบท เขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวได้เสมอ เขาเก่งในการผสมผสานองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อสร้างสไตล์แฟชั่นที่ไม่เหมือนใคร
ผลงานการออกแบบของคุณโรจน์มักได้รับคำชื่นชมและเป็นที่สนใจจากสื่อและแวดวงแฟชั่น เขาได้รับรางวัลการออกแบบแฟชั่นทั้งไทยและนานาชาติหลายรางวัล และได้นำเสนอผลงานในงานแฟชั่นและนิทรรศการต่าง ๆ การออกแบบของเขายังปรากฏอยู่บ่อยครั้งในนิตยสารแฟชั่นและสื่อสังคมออนไลน์ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้มีแฟน ๆ และผู้ติดตามจำนวนมาก
นอกจากความสำเร็จอันโดดเด่นในด้านการออกแบบแฟชั่นแล้ว คุณโรจน์ยังมีส่วนร่วมในกิจกรรมด้านชสังคมและการกุศลอีกด้วย เขาให้ความสำคัญกับประเด็นทางสังคมและมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงทางสังคม เขาถ่ายทอดคุณค่าทางสังคมในเชิงบวกผ่านผลงานการออกแบบของเขา และสนับสนุนการปกป้องสิ่งแวดล้อม การพัฒนาที่ยั่งยืน
ความสำเร็จของคุณโรจน์ไม่เพียงแต่มาจากพรสวรรค์ด้านการออกแบบเท่านั้น แต่ยังมาจากความพยายามอย่างไม่ย่อท้อและการไล่ตามความฝันอีกด้วย เขาสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่มากมาย ด้วยเรื่องราวและผลงานการออกแบบที่สร้างแรงบันดาลใจของเขา และกลายเป็นดาวเด่นแห่งวงการแฟชั่นไทย
ในอนาคตเราคาดว่าคุณโรจน์จะยังคงฉายแววในวงการแฟชั่น สร้างสรรค์ผลงานการออกแบบที่สะดุดตายิ่งขึ้น และใช้อิทธิพลและความสามารถที่มีอยู่เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาเชิงบวกให้กับสังคมและวงการแฟชั่นต่อไป
ManGu: คุณเริ่มคิดที่จะเป็นนักออกแบบตั้งแต่เมื่อไร
คุณโรจน์: ผมเคยอยากเป็นนักออกแบบตั้งแต่เด็ก ๆ ไหม? ตอนเด็ก ๆ แม่ชอบพาไปไหว้พระ เวลาไหว้พระจะขอพรกับพระพุทธเจ้าโดยหวังว่าโตขึ้นจะได้ทำงาน "สวย ๆ" หน้าที่การงานมั่นคงพอเลี้ยงครอบครัวได้
ManGu: ชีวิตในวัยเด็กไม่เกี่ยวกับ “สิ่งสวย ๆ งาม ๆ” เลย มันเกี่ยวกับครอบครัวและสภาพแวดล้อมด้วยหรือเปล่า
คุณโรจน์: จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครับ ผมโตมาในครอบครัวคนจีน คุณพ่อเป็นคนจีนแต้จิ๋ว แซ่ลิ้ม ตอนผมยังเด็กอาชีพของท่านคือเก็บเศษเหล็ก อาชีพล่าสุดของท่านคือคนขับแท็กซี่ แม่ของผมมาจากจังหวัดฉะเชิงเทรา อาชีพของท่านคือแม่บ้าน บางครั้งก็เป็นลูกจ้างร้านกาแฟ และอาชีพล่าสุดคือขายปาท่องโก๋ เมื่อผมยังเด็กครอบครัวของเราอาศัยอยู่แถว ๆ ถนนตก ครอบครัวของเรามีลูก 6 คนและผมเป็นคนที่ 5
ManGu: คุณได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมจีนแบบดั้งเดิมตั้งแต่คุณยังเด็กหรือไม่
คุณโรจน์: พวกนี้มาจากสายเลือดทั้งนั้น ทุกเทศกาล ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลตรุษจีน เทศกาลวันสารทจีน หรือเทศกาลเช็งเม้ง และเทศกาลต่าง ๆ อยู่กับผมจนในตอนนี้ เพราะฉะนั้นถึงวันนี้คุณพ่อไม่อยู่แล้ว แต่ในช่วงเทศกาลผมก็ยังทำกิจกรรมหรือพีธีกรรมตามประเพณีนั้นทุกปี
ManGu: วิชาเอกที่คุณเรียนใกล้เคียงกับงานปัจจุบันของคุณหรือเปล่า
คุณโรจน์ : ผมมีพรสวรรค์ตั้งแต่เด็ก คือชอบวาดรูป เพราะคิดว่าความชอบคือพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ผลการเรียนและการวาดภาพอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อผมอายุประมาณ 10 ขวบ ได้เข้าร่วมการแข่งขันวาดภาพที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐและได้รับรางวัลชนะเลิศ จำได้ว่าหัวข้อการแข่งขันคือ “สิ่งแวดล้อมและขยะ” ผมจึงวาดเรือเก็บผักตบชวาในแม่น้ำเจ้าพระยา จากนั้นได้ศึกษาต่อสายอาชีพศิลปะที่วิทยาลัยเทคโนโลยีไทยวิจิตรศิลป นี่เป็นโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ทักษะการวาดภาพ การใช้สี ประติมากรรม หรือแม้กระทั่งการวาดเส้น และการวาดภาพสีน้ำ สิ่งนี้ยังเป็นการวางรากฐานสำหรับการสร้างสรรค์งานศิลปะ
ManGu: อยากเรียนศิลปะต้องเข้าสถาบันเทคโนโลยีไทยวิจิตรศิลปไหม
คุณโรจน์: สถาบันเทคโนโลยีไทยวิจิตรศิลปเป็นโรงเรียนเอกชนที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากในขณะนั้น แต่จริง ๆ แล้วมีโรงเรียนดี ๆ มากมาย เช่น มหาวิทยาลัยศิลปากร
ManGu: คุณชอบยกพวกต่อยตีตอนเรียนอาชีวะหรือเปล่า
คุณโรจน์: ผมถือว่ามันเป็นหนึ่งในประสบการณ์การเรียนรู้ในช่วงอายุ 20 ของผม และผมคิดว่ามันก็เหมือนกันสำหรับทุกคน ทุก 10 ปี เช่น 10-20 ปี 20-30 ปี เป็นวัยที่อยากมีโลกเป็นของตัวเอง อยากเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกว่ามีปัญหาไปทุกที่ อยากโต้เถียงกับคนทั้งโลก ส่วนตัวผมคิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าสังคมในสมัยนั้น และมีพฤติกรรมในตอนนั้นแสดงถึงในความรักในสถาบันและพวกพ้อง จึงกลายเป็นวัฒนธรรมไปในช่วงนั้น
ManGu: คุณเคยเจอสถานการณ์ที่คุณไม่สามารถเอาชนะได้ไหม
คุณโรจน์: ผมอยู่มาหลายกลุ่มแต่ละกลุ่มก็มีระบบไม่เหมือนกัน เลยรู้วิธีเอาตัวรอดหลายอย่างเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้โดนรังแก ผมโตมาเป็นหัวหน้า มันเป็นประสบการณ์ที่น่าสนใจและน่าตื่นเต้น จำได้ว่าครั้งหนึ่งหลังเลิกเรียนมีการทะเลาะกันครั้งใหญ่ จตุจักรเป็นแหล่งรวมของทุกกลุ่ม โรงเรียนของเราบังเอิญอยู่ใกล้สวนจตุจักร สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคืออีกฝ่ายชักปืนออกมาจ่อที่ขมับของผม ผมสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิความเย็นของกระบอกปืน สิ่งนี้ทำให้หัวใจของผมเต้นเร็วขึ้นและรู้สึกเหมือนกำลังเผชิญกับความท้าทายถึงความเป็นความตาย แม้ว่าเวลาจะสั้น แต่ก็น่ากลัวจริง ๆ ในวัยนั้น ผมคิดง่าย ๆ เพราะมันเป็นช่วงเวลาที่เกเรที่สุดในชีวิตของผม ผมคิดว่าหลายคนที่ในช่วงวัย 20 ปีนี้ก็เหมือนกัน ผมคิดว่านี่คือความท้าทายและเป็นการสะสมประสบการณ์ที่ทำให้ผมเติบโตขึ้น
ManGu: คุณเรียนการออกแบบแฟชั่นตอนเป็นนักเรียนหรือเปล่า
คุณโรจน์: 30 ปีที่ผ่านมา วงการแฟชั่นไม่มีวิชาเฉพาะเลย ตอนเรียน ผมเรียนศิลปะประยุกต์ตั้งแต่พื้นฐานการวาดภาพ การใช้สี พาณิชย์ศิลป์ ไปจนถึงการออกแบบโปสเตอร์และออกแบบสิ่งพิมพ์
ManGu: การเป็นนักออกแบบหรือศิลปินขึ้นอยู่กับว่าคุณสมัครงานที่ไหนหรือไม่
คุณโรจน์: เนื่องจากผมมาจากครอบครัวซึ่งมีฐานะที่ไม่ค่อยมีความสะดวกสบายในการเลือกมากนัก หลังจากที่ผมได้รับประกาศนียบัตรจากโรงเรียนอาชีวศึกษา ผมคิดที่จะสมัครเข้ามหาวิทยาลัย แต่ด้วยความเกเร ความไม่ตั้งใจ ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยต่อได้และจึงเริ่มทำงาน ตอนนั้นผมทำงานที่เกรย์ฮาวด์ และถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ในการทำงานกับแบรนด์ที่มีประวัติยาวนานกว่า 30 ปี ผมจึงได้เรียนรู้ ซึมซับวิธีการทำงานและระบบการทำงานของเกรย์ฮาวด์ในอุตสาหกรรมแฟชั่น
ManGu: งานแรกของคุณที่เกรย์ฮาวด์คืออะไร
คุณโรจน์: ตอนสมัครผมสมัครตำแหน่งดิสเพลย์ เรียนรู้เรื่องของการจัดร้าน การจัดหุ่น การจัดราว ตกแต่งร้าน แต่พอไปทำจริง ๆ เขาให้ผมเป็นพนักงานขาย ยืนขายเสื้ออยู่หน้าร้านประมาณ 6 เดือน หลังจากนั้นจึงเข้าไปอยู่ออฟฟิศ ในทีมครีเอทีฟ ทำในส่วนของดิสเพลย์ ต้องขอบคุณทางเกรย์ฮาวด์ เจ้านายเก่าได้ให้โอกาสเรียนรู้ในการทำงานหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นประสานงาน ทีมออกแบบ จัดร้าน ออกกอง ถ่ายแฟชั่นต่าง ๆ ผมมองว่าเป็น 6 ปีที่เป็นประสบการณ์น่าประทับใจ และดีที่สุด ได้บทเรียนหลายอย่าง ได้ความรู้มากมายจากการทำงานที่เกรย์ฮาวด์
ManGu: อะไรทำให้คุณออกจากเกรย์ฮาวด์
คุณโรจน์: ในช่วงปีสุดท้าย ผมได้มีโอกาสเปิดร้านอาหารที่จตุจักร ผมทำงาน 5 วันที่เกรย์ฮาวด์ มีเวลาว่าง 2 วันคือเสาร์-อาทิตย์ ผมจึงเปิดร้านอาหาร โดยคุณแม่ผมเป็นคนทำกับข้าว ผม พี่ชาย พี่สาว จะนำอาหารที่แม่ทำมาขาย พร้อมเครื่องดื่ม เพราะฉะนั้นผมใช้เวลา 7 วันในการทำงาน ก็เป็นเรื่องที่สนุกอีกหนึ่งประสบการณ์
ManGu: หลังจากเปิดร้านอาหารและเครื่องดื่ม กลายเป็นขายเสื้อผ้าได้อย่างไร
คุณโรจน์: จตุจักรตอนนั้นเป็นตลาดนัดเสาร์-อาทิตย์ แต่ช่วงนั้นพบว่าสาว ๆ วัยรุ่นสมัยนี้ชอบไปสยามสแควร์อีกฝั่งของสยามพารากอนกันเยอะ ก็เลยอยากลองดู จำได้ว่าไปวันธรรมดาพอดี เดินไปเห็นป้าย "ให้เช่า" และนี่คือร้านแรกที่เช่าในสยามสแควร์
ManGu: คุณเตรียมการ จัดเวลาอย่างไรจากที่ทำงาน 7 วันต่อสัปดาห์เพื่อเตรียมตัวเปิดร้าน
คุณโรจน์: ไม่ควรใช้คำว่า “เตรียม” เพราะไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย อยากทำเฉย ๆ เมื่อผมมองย้อนกลับไปที่สิ่งเหล่านี้ มันดูเหมือนเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นทีเดียว แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะที่นี่เป็นร้านเสื้อผ้าร้านแรกที่ผมเปิดและเป็นร้านแรกของแบรนด์ ISSUE ด้วย ผมยังไม่ได้เตรียมการมากนัก การเปิดร้านเมื่อ 25 ปีที่แล้ว ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากร้านนั้น ผมพยายามอย่างมาก และก็ล้มเหลวมาก แต่มันทำให้ผมเติบโตขึ้นมากด้วยเช่นกัน
ManGu: เมื่อคุณเห็นป้าย "เช่า" คุณเคยคิดบ้างไหมว่าคุณจะมีเสื้อผ้าสไตล์ไหนในร้านเสื้อผ้าของคุณ
คุณโรจน์: คิดอยู่เหมือนกัน แต่พอย้อนกลับมาดูมันคือความมุทะลุ ความคิดน้อย แต่ผมเริ่มต้นจากสิ่งที่ผมถนัด คือผมผูกพันกับจตุจักรมาตั้งแต่เด็ก ผมจะรู้ว่ามีเสื้อแบบไหนที่ไม่มีในท้องตลาด และผมอยากได้เสื้อแบบไหนที่ผมชอบ เพื่อน ๆ หรือคนรอบ ๆ ตัวชอบอะไรอย่างไร ผมจึงใช้วิธีการครูพักลักจำจากสิ่งที่ทำงานมา จากสิ่งที่ชอบ เพราะฉะนั้นจตุจักรจะเป็นแหล่งทั้งเสื้อผ้าใหม่ เสื้อผ้ามือสอง เสื้อผ้าวินเทจ หรือเสื้อผ้าขายส่ง ผมจึงได้นำสิ่งเหล่านี้ที่ได้เรียนรู้มาผสมผสานเข้าด้วยกัน เพราะฉะนั้นในร้าน ISSUE เมื่อ 25 ปีแรก จะมีกลิ่นอายของสินค้าเหล่านี้อยู่ในร้าน เสื้อผ้าจะมีทั้งเสื้อผ้าจากจตุจักรด้วย ทำเองด้วย มีการตกแต่งเพิ่มด้วย
ManGu: ISSUE ในตอนนั้นเป็นสไตล์เดียวกับ ISSUE ในตอนนี้หรือเปล่า
คุณโรจน์: อาจจะไม่เหมือน เพราะปัจจุบันจะมีบางอันที่เป็นผ้าสะสม ที่ผมสะสมมาหลายปี นำมาทำความสะอาดใหม่ วางแพทเทิร์นใหม่ ตกแต่งใหม่ และบางชิ้นมีการสั่งพิมพ์ใหม่จากอินเดีย จึงถือว่าเป็นการนำสิ่งที่ผมชอบและรัก จากประสบการณ์ต่าง ๆ มาทำ เช่น การนำผ้าพิมพ์จากอินเดียแต่อยู่โครงเสื้อแบบจีน เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมและสีสันต่าง ๆ
ManGu: ช่วงแรกที่คุณเปิดร้านธุรกิจของคุณไปได้ดีไหม
คุณโรจน์: ต้องบอกว่าผมสามารถทำฝันให้กับตัวเอง และครอบครัวได้ ภายใน 3 ปี ผมมีบ้านให้แม่ ซื้อรถให้พ่อ ครอบครัวผมค่อนข้างใหญ่ อยู่หลายคน แต่สามารถมีห้องส่วนตัวให้กับทุกคนได้
ManGu: คุณเป็นคนที่ประสบความสำเร็จด้านการงานที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมดไหม
คุณโรจน์: ในส่วนตัวผมเอง ผมมองว่าที่ผมประสบความสำเร็จได้ก็เพราะได้แรงสนับสนุนจากครอบครัว ได้แรงบันดาลใจจากคุณพ่อคุณแม่ ผมคงไม่สามารถทำด้วยตัวคนเดียวได้มาจนถึงทุกวันนี้ ต้องขอบคุณทางครอบครัวทุกคน
ManGu: ปัจจุบันครอบครัวจะยังช่วยดูแลกิจการในร้านอยู่ไหม
คุณโรจน์: ช่วงแรก ๆ จะมีทั้งพี่ทั้งน้องช่วย แต่บางคนอาจแยกตัวออกไปทำธุรกิจส่วนตัวบ้าง มีครอบครัวบ้าง แต่ก็จะมีพี่ชายคนรองที่ทำด้วยกันมาตลอด ตอนนี้ก็เป็นอีกยุคหนึ่งแล้ว ก็จะมีหลานเข้ามาช่วยทำในบางเรื่อง
ManGu: สไตล์ของ ISSUE ตั้งแต่ 25 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนมากน้อยแค่ไหน
คุณโรจน์: ต้องบอกว่าเราปรับเปลี่ยนอยู่เสมอ เพราะฉะนั้นเราจึงเรียนรู้ในการปรับตัว สิ่งหนึ่งที่ผมยึดเป็นแนวทางในการทำงานคือองค์กรเราเป็นองค์กรเล็ก ข้อดีคือมีการปรับตัวได้เร็ว ผมจึงสามารถเรียนรู้ธรรมชาติของอุตสาหกรรมนี้ได้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงทุกวันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมแฟชั่น แม้กระทั่งตัวเอง สิ่งรอบตัว หรือโลก มันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากว่าเราปรับตัวได้เร็วก็เหมือนว่าเราจะมีความคล่องตัวในการปรับ และทำได้ง่ายขึ้น
ManGu: ชื่อ "ISSUE" มาจากไหน และคุณเริ่มใช้มันเมื่อไหร่
คุณโรจน์: ผมเรียนไม่ได้สูง สิ่งที่ผมหาความรู้ได้มากที่สุดคือการอ่านหนังสือ ตรงข้ามร้าน ISSUE ที่สยามสแควร์ คือร้านหนังสือดอกหญ้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำเวลาว่างคือเข้าไปอ่านหนังสือที่ผมสนใจ เวลาผมไปหน้าแผงนิตยสาร คำว่า “ISSUE” เป็นคำที่ผมเจอบ่อยมาก ซึ่งสะท้อนให้ผมเห็นว่าหากจะมีแบรนด์ หรือคำที่ผมเห็นบ่อย ทั้งสั้น เข้าใจง่าย และความหมายเป็นเรื่องของประเด็น กระแส นับเป็นความหมายที่เข้ากันได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลง การนำสินค้าที่อยู่ในกระแส หรือเป็นประเด็นต่าง ๆ นำมาต่อยอด ตีความหมายให้กลายเป็นสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ชื่อ “ISSUE” จึงเหมาะกับเรา เริ่มใช้ชื่อนี้ตั้งแต่ 25 ปีแรก ตั้งแต่ปีแรกของการเปิดร้าน ตัวแบรนด์ที่เขียนนั้นถูกดีไซน์ไปเรื่อย ๆ ช่วงแรกเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษที่อ่านง่าย หลัง ๆ ถูกพัฒนาเป็นตัวฮินดีบ้าง ตัวอาราบิกบ้าง มีทั้งออกแบบเองและมีทีมกราฟฟิกที่ช่วยดู โลโก้ของทุกวันนี้ถูกใช้มาเกิน 10 ปี แต่ในตัวโลโก้เราจะแบ่งเป็นกลุ่มสินค้า และโลโก้แบบนั้น ๆ จะจัดอยู่ในกลุ่มสินค้าที่เราแบ่งไว้แล้วว่าจะเหมาะกับกลุ่มสินค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย
ManGu: ตั้งแต่เปิดสาขาแรกของ ISSUE ที่สยามสแควร์ จนถึงปัจจุบันมีช่วงไหนที่คุณคิดว่าเป็นจุดเปลี่ยนในการพัฒนา ISSUE ไหม
คุณโรจน์: จริง ๆ แล้วมันสัมพันธ์กันกับสถานการณ์ของประเทศและโลก หากมองกันจริง ๆ แล้วในทุก ๆ 3-4 ปี จะมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องปรับตัว เช่น ไข้หวัดนก โรคระบาด หรือเรื่องการเมืองต่าง ๆ เพราะฉะนั้นสถานการณ์ภายนอกเป็นปัจจัยที่เรากำหนดไม่ได้ แต่มีผลกับปัจจัยภายใน เพราะฉะนั้นแค่ปัจจัยหลักในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาการทำคอลเลคชัน 1 ปี มี 4 คอลเลคชัน จึงมีการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนถ่ายอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่พอมีปัจจัยภายนอกเข้ามากระทบกับเรา ยิ่งทำให้เราต้องปรับตัวมากขึ้น ยกตัวอย่างที่เราปรับตัวและเห็นได้ชัดเจนคือโรคระบาดโควิด-19 เราปรับตั้งแต่วิธีการทำงาน แผนการผลิต วิธีการขาย วิธีการจัดส่ง สิ่งที่เห็นชัดเจนคือเราปิดสาขาไปตลอดหลายเดือน เพราะฉะนั้นการขายออนไลน์ การไลฟ์ขายของ การส่งออก
การขายในประเทศ การจัดส่ง เราปรับใหม่ทั้งระบบ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ชัดเจนและใกล้เคียงที่สุดที่ทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง และทำให้การปรับตัวขององค์กรเล็กๆอย่างเรา ได้พร้อมรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จึงนับเป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ
ManGu: ISSUE เป็นแบรนด์ที่ทั่วประเทศรู้จักตั้งแต่เมื่อไหร่
คุณโรจน์: ในทุก ๆ ปีเราจะมีส่วนที่ทำการออกแบบและผลิตกับองค์กรภาครัฐและเอกชนต่าง ๆ รายได้ถือเป็นการกุศล เหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกตื่นเต้นคือตอนที่เราร่วมออกแบบให้กับโรงพยาบาลรามา เพราะฉะนั้นน่าเป็นครั้งแรกที่มีคนต่อคิวเข้าแถวยาวหลายกิโลเมตรหน้าโรงพยาบาลรามา เพื่อซื้อหมวกที่ ISSUE ออกแบบโครงการให้ไม่มีที่สิ้นสุด ทุก ๆ คอลเลคชันก็จะได้การตอบรับที่ดีมาก ได้ร่วมทำบุญและได้ปัจจัยมากพอสมควรในการสร้างศูนย์การแพทย์
ManGu: งานในวงการแฟชั่นงานไหนที่ถือว่าเป็นงานที่สำคัญ
คุณโรจน์: ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ตอนเริ่มต้น เป็นงานดีไซน์เนอร์ที่เดินแฟชั่นโชว์กับ ELLE Fashion Week 2003 จึงเป็นโชว์เต็มรูปแบบครั้งแรกถือว่าเป็นความประทับใจไม่ลืม ต้องขอขอบคุณทาง ELLE และพี่ฟอร์ด กุลวิทย์ เลาสุขศรี ที่ได้ให้โอกาสทำ ELLE Fashion Week โชว์ครั้งนั้น ถือเป็นการเปิดตัวได้อย่างน่าประทับใจ ผมเองยังประทับใจ จำภาพนั้นได้ดี และตื่นเต้นทุกครั้งที่นึกถึงในการทำงาน
ManGu: จนถึงปัจจุบันนี้ เสื้อผ้าของแบรนด์ISSUE คุณผลิตเองทั้งหมดไหม
คุณโรจน์: เราออกแบบและผลิตเองทั้งหมด ผมเป็นCreative Directorมาตั้งแต่แรก แต่ทีมเราเปลี่ยนบ่อยจนตอนนี้เหลือผมคนเดียว
ManGu: คุณยังมีแรงบันดาลใจอยู่เรื่อย ๆ ไหม
คุณโรจน์: ทุก ๆ วันผมตื่นขึ้นมายังคงเต็มไปด้วยพลังและความหลงใหลในการทำงาน ซึ่งเป็นจุดแข็งที่สุดของผม ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขในทุก ๆ วัน
ManGu: ช่วงเวลาไหนเป็นช่วงเวลาที่มีความคิดสร้างสรรค์ได้ดี
คุณโรจน์: ผมจะตื่นเวลา 06.30 น. ออกกำลังกายประมาณ 30-40 นาที จากนั้นก็จะใส่บาตร รับประทานข้าวเช้า และไหว้พระสวดมนต์ เพราะฉะนั้นช่วงเวลาช่วงเช้าเป็นช่วงที่ดีที่สุดผมมักได้งานดีไซน์หรือคิดแก้ปัญหาออกตอนสวดมนต์ นั่งสมาธิ บางครั้งตอนเวลาเข้านอน ในบางคืนผมก็ฝันเห็นแบบเสื้อ ผมจะรีบหยิบกระดาษกับปากกาเพื่อสเก็ตวาดแบบก่อนที่จะลืม และถูกนำมาทำเป็นคอลเลคชัน
ManGu: มีคอลเลคชั่นอะไรบ้างที่เป็นคอลเลคชั่นที่ติดตลาด หรือคนนิยมมาก
คุณโรจน์: ความประทับใจของผมนอกจาก ELLE Fashion Week ในครั้งแรกของ ISSUE การเดินแฟชั่นวีคที่สิงคโปร์ก็ถือเป็นอีกหนึ่งคอลเลคชั่นที่ผมประทับใจ และได้รับการตอบรับที่ดี เพราะนิตยสาร Vogue ยกให้เราเป็นแฟชั่นโชว์ที่ดีที่สุดในปีนั้น คอนเซ็ปท์ในแฟชั่นโชว์ครั้งนั้นมาจากบทกวีลิลิตตะเลงพ่าย เป็นบทประพันธ์ในรัชกาลที่ 3 ที่พูดเรื่องคนรักกำลังไปออกรบ ผมจึงนำไปต่อยอดให้กลายเป็นเรื่องพลังแห่งความรักมีการผสมผสานกันระหว่างความอ่อนหวานของผู้หญิงที่ตีความเป็นดอกไม้ กำลังส่งความรักให้กับชายหนุ่มอันเป็นที่รักเพื่อออกรบ จึงรู้สึกได้ถึงความโรแมนติกและความกล้าหาญแบบชายในสนามรบ มีเครื่องประดับเป็นเสื้อเกราะ และมีงานพับกลีบใบตองเพื่อแต่งเป็นเสื้อคลุม
ManGu: ทำไมแม่ของคุณถึงเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ของคุณ
คุณโรจน์: คุณแม่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเห็นท่านทำงานหนักมาตั้งแต่เด็ก เพราะฉะนั้นตอนผมเด็ก ๆ จะตื่นมาพร้อมกับหน้าที่หนึ่งคือช่วยคุณแม่นวดแป้งปาท่องโก๋ในทุก ๆ วัน ทำให้เห็นถึงความวิริยะและความอดทนของคุณแม่ ท่านและคุณพ่อดูแลลูก ๆ ถึง 6 คน จะเห็นถึงความตั้งใจแม้จะตื่นเช้ามาก แม่จะตื่นตั้งแต่ตี 4 และทำงานจนถึงเย็นผมว่าสิ่งนี้น่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนหนึ่งที่ทำให้ผมมีความตั้งใจตั้งแต่เด็กว่าหากเราโตขึ้นเราจะต้องมีอาชีพที่ดี อยู่กับสิ่งสวยงาม และจะต้องให้ครอบครัวสบาย มีความสุข
ManGu: ตลอด 25 ปีที่ทำมา เคยเจอช่วงที่ถือยากลำบากสำหรับคุณหรือไม่
คุณโรจน์: ผมรู้สึกว่าผมเจอบ่อยจนไม่เป็นอะไรแล้ว อย่างมากก็ยิ้ม ๆ หัวเราะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป อย่างที่ผมบอกหากสังเกตจริง ๆ ในทุก ๆ 3-4 ปี กราฟในอุตสาหกรรมแฟชั่น มักถูกกระทบจากหลาย ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรคระบาด สงคราม หรือการเมือง ที่ส่งผลกระทบกับเรา ซึ่งเป็นปัจจัยที่เราไม่สามารถจัดการได้ และเกิดขึ้นกับเราเสมอ ตอนแรกผมรู้สึกทุกข์มากกับเรื่องราวเหล่านี้ มันส่งผลกระทบกับเราไม่ว่าจะเป็นเรื่องยอดขายและอื่น ๆ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา เรื่องธรรมชาติที่เราจะต้องทำใจ เพื่อเรียนรู้และยอมรับมัน และปรับตัวให้อยู่กับมันให้ได้
ManGu: การวางตำแหน่งแบรนด์คืออะไร
คุณโรจน์: สามารถตอบได้หลายมิติ เราเป็นหนึ่งในไทยดีไซเนอร์ที่อยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นตลอด 25 ปี เพราะฉะนั้นเราไม่ได้มองว่าแบรนด์อื่น ๆ ที่อยู่ในอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นคู่แข่ง ดังนั้นตำแหน่งของเราอยู่ในจุดที่เราเป็นอะไรก็ได้ เราต่อยอดได้หลายอย่าง ผมเองก็มีความสุขที่ได้สร้างสรรค์คอลเลคชั่น ไม่ใช่แค่เสื้อผ้า ณ วันนี้ ISSUE ทำเครื่องราง ชื่อว่าแบรนด์ “หงส์ฟ้ามหาเฮง” เพิ่งออกเป็นองค์พระพิฆเนศ องค์บูชา เครื่องรางที่ต่อยอดให้เข้ากันกับเรา ถือเป็นส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ แฟชั่นเป็นไลฟ์สไตล์ เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่ามีบางคนที่มีชุดความเชื่อคล้ายกับเรา เป็นคนพุทธ ผสมความเชื่อแบบฮินดู เพราะฉะนั้นองค์พระพิฆเนศเป็นมหาเทพที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมตั้งแต่ปีแรก ๆ ผมจึงเชื่อว่าไม่ว่าจะเป็นศิลปิน นักแสดง นักร้องต่าง ๆ ที่อยู่ในวงการบันเทิง วงการศิลปะ จะมีพระพิฆเนศเป็นหลักในการนำทาง องค์พระพิฆเนศนี้จึงเป็นองค์บูชารุ่นแรกของแบรนด์ที่มีการปลุกเสกเรียบร้อย และมีการจองเต็มแล้ว เพราะฉะนั้นจึงมีการต่อยอดในเรื่องของเครื่องรางในคอลเลคชั่นถัด ๆ ไป และกำลังคอลแลปในการทำของตกแต่งบ้าน เป็นแฟชั่นไลฟ์สไตล์มากขึ้น รวมถึงชุดชั้นใน
ManGu: ส่วนใหญ่สีสันสดใส เป็นสไตล์ของ ISSUE เลยไหม
คุณโรจน์: สีสันและลายพิมพ์ถือเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่เรานำมาต่อยอดจากแรงบันดาลใจ หนึ่งอย่างที่เราเชื่อและถือเป็น DNA ของแบรนด์คือส่วนตัวผมเชื่อว่าเสื้อผ้าเป็นมากกว่าหนึ่งในปัจจัยสี่ เสื้อผ้าสะท้อนให้เห็นถึงรสนิยม การใช้ชีวิต สะท้อนถึงบุคลิก เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของผู้สวมใส่และผู้ออกแบบ เพราะฉะนั้นสีสันมีผลกับอารมณ์ความรู้สึก สะท้อนให้เห็นถึงเอกลักษณ์ อัตลักษณ์ของตัวเองก็เป็นเรื่องสำคัญบ่งบอกในหลาย ๆ สถานะ ผมจึงเชื่อว่าเสื้อผ้า การใช้ชีวิต ทรงผม การแต่งกาย หรือแม้แต่เครื่องประดับที่ใส่ สะท้อนให้เห็นในหลาย ๆ มิติ แฟชั่น และไลฟ์สไลต์เป็นส่วนที่สำคัญที่สะท้อนในหลาย ๆ อย่าง
ManGu: สังเกตได้ว่าสไตล์จะออกแนวอินเดีย ถือเป็นความชอบหรือประสบการณ์อะไร
คุณโรจน์: ผมว่าเป็นประสบการณ์จากการเดินทาง จากสิ่งที่เราชอบ และมีทั้งความเป็นอินเดีย จีน ไทย ในบางเทศกาล เช่นสงกรานต์เราจะมีกลิ่นอายความเป็นไทย เสื้อฮาวาย ลายฮาวาย ลายไทย เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผมได้มีโอกาสร่วมงานกับผู้ประกอบการที่เป็นคนไทย โดยได้พระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ ได้ร่วมเป็นคณะกรรมการตัดสินผ้าไทย ผมจึงได้มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้รู้จักกับผู้ประกอบการที่มีความสามารถทั่วประเทศในการทำผ้า พิมพ์ผ้า ย้อมผ้า ใช้สีธรรมชาติ ไม่ใช่แค่มีความสามารถอย่างเดียว ผมได้มีโอกาสร่วมทำงานกับผู้ประกอบการในการออกแบบกระเป๋า ในการทำผ้า ทำคอลเลคชั่น เพราะฉะนั้นความเป็นไทยก็มีส่วนขับเคลื่อนในคอลเลคชั่นที่ผ่าน ๆ มา
ManGu: คาแรคเตอร์ลูกค้าที่สวมใส่เสื้อผ้า ISSUE ในความคิดของคุณเป็นอย่างไร
คุณโรจน์: ในกลุ่มของการทำคอลเลคชั่นของผม ผมแบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้ 1.Basic Classic เป็นเสื้อผ้าที่ใส่ง่าย เหมาะกับทุกคน สีขาว สีดำ ง่าย ๆ หรือแม้แต่เราออกคอลเลคชั่นเป็นยีนส์ 2.ISSUE JEANS ก็เหมาะกับทุกคนได้ ยีนส์เป็นหนึ่งในไอเทมที่ผมคิดว่าเหมาะกับทุกคน 3.ผมใช้คำว่า “BB” เป็นสินค้าที่ผมออกแบบตามเทศกาล เช่นตรุษจีน ต้องบอกว่าเราประสบความสำเร็จกับคอลเลคชั่นตรุษจีนมาหลายปีซ้อน เราเพิ่งเปิดตัวคอลเลคชั่นตรุษจีนไปและได้รับการตอบรับที่ดีมาก สินค้าหลายชนิดผลิตไม่ทัน ขายหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นลายพิมพ์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากจีน สีสัน โครงเสื้อที่มีกลิ่นอายความเป็นจีน ซึ่งผมว่าไทยกับจีนเป็นพี่น้องกัน คนไทยหลายคนเชื้อสายจีน จะมีความสุขกับการใส่เสื้อสีแดง ได้แต่งตัวไปไหว้เจ้า ผมเองก็มีความสุข เพราะผมเองก็มีเชื้อสายจีน มันก็จะสนุกทุกครั้ง จึงเป็นการผสมผสานระหว่างความเชื่อและประเพณี ที่มันแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน เทศกาลสงกรานต์ ความเป็นไทย ผมจึงได้นำผ้าไทยมาปรับใช้ ลวดลายไทยมาปรับใช้ในช่วงสงกรานต์
ManGu: ลูกค้าส่วนใหญ่สไตล์ไหน
คุณโรจน์: กลุ่มเป้าหมายที่เด็กที่สุดน่าจะมีตั้งแต่ 18-20 ปี ที่สามารถซื้อเสื้อยืด หมวกของเรา กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะผู้ใหญ่
ManGu: ในอนาคตอันใกล้นี้คุณวางแผนที่จะทำอะไรบ้าง
คุณโรจน์: ตอนนี้เรากำลังพัฒนาต่อยอดในเรื่องของศิลปะ กำลังจะมีการทำคาแรคเตอร์ออกมา เพื่อกลายเป็นอีกหนึ่งตัวแทนที่ทำให้แบรนด์นี้ตอกย้ำความเป็นศิลปะมากขึ้น อยากให้ติดตามว่าเป็นคาแรคเตอร์แบบใด เป็นคาแรคเตอร์อีกหนึ่งอย่างที่อาจต่อยอดไปเป็นแบบอื่นได้อีก และเข้าถึงกลุ่มคนได้มากขึ้น
ManGu: ชีวิตประจำวันของคุณเป็นอย่างไรบ้าง
คุณโรจน์: ปกติผมอยู่บ้านทั้งวันไม่ค่อยได้ออกไปไหน ผมชอบอยู่บ้านเลี้ยงนกและเลี้ยงปลา เมื่อก่อนชอบสัตว์เลี้ยงทั่วไป แต่ผมแพ้ขนแมว ขนสุนัข ก็เลยได้นกยูงมาเลี้ยง
ManGu: งานอดิเรกส่วนตัวของคุณคืออะไร
คุณโรจน์: ผมชอบไปวัด ทำบุญ ผมเพิ่งกลับจากอินเดีย เพิ่งอยู่กรุงเทพฯ ได้ 2 เดือน และจะกลับมาอินเดียอีก
ManGu: สไตล์การแต่งตัวของคุณเป็นแบบไหน? ทำไมทุกรูปของคุณจึงมักจะมีแว่นกับหมวก
คุณโรจน์: อันดับแรกผมต้องบอกก่อนว่าผมเป็นภูมิแพ้ที่ตาที่ค่อนข้างจะต้องระวัง จึงต้องใส่แว่น ผมจะแพ้แสงกับลม หากโดนตาผมจะแดงและน้ำตาไหล และเนื่องจากผมเพิ่งบวชมาและเป็นคนไม่ชอบจัดทรงผม แก้ด้วยการใส่หมวก เลยกลายเป็นคาแรคเตอร์ไป โชคดีอย่างหนึ่งผมไม่ได้ซื้อเสื้อมามาหลายปี ผมจึงรู้ว่าผมอยากใส่เสื้อผ้าแบบไหน และชอบอะไร ก็ออกแบบมามีกลิ่นอายความเป็นตัวเอง ปกติผมใส่เสื้อผ้าสีพื้น แต่หากในช่วงเทศกาล เช่นตรุษจีน ผมก็จะใส่สีแดง ใส่สีใส่ลาย
ManGu: สไตล์การทำงานกันทีมงานเป็นอย่างไร
คุณโรจน์: ทีมงานบอกว่าผมดุ แต่ผมเป็นคนจริงจังในการทำงาน ในทุกๆเรื่อง สิ่งที่ผมตกตะกอนได้จนมาเป็นผมทุกวันนี้ก็จะมาจากครอบครัว จากการใช้ชีวิต จากการเรียน ประสบการณ์การทำงาน ผมจึงเห็นถึงความจริงจังและโอกาสแต่ละอย่างในชีวิต และเห็นถึงเวลาที่จำกัด ความจริงจังของผมจะเกิดขึ้นจากความตั้งใจ และความเอาจริง เพราะฉะนั้นผมจะไม่ค่อยเล่นในเวลา แต่นอกเวลางานผมจะเล่นปกติ คุยสนุกสนานได้ แต่ในเวลางานมันจริงจังหากเราทำงานช้า สรุปช้าไป 1 วัน ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้ว ผมจึงค่อนข้างเข้มข้นในการทำงาน
ManGu: แต่ละคอลเลคชั่นก่อนจะออกมา เช่นคอลเลคชั่นตรุษจีน ใช้เวลานานแค่ไหน
คุณโรจน์: ไม่ต่ำกว่า 3 เดือน 2 เดือนถือว่าเร็วสุด ก่อนหน้านี้ช่วงลองถูกลองผิดก็อาจมีช้าบ้าง อุตสาหกรรมแฟชั่นใครมองว่างานอาชีพแฟชั่นดีไซน์มันง่าย ก็อาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นทั้งหมด เพราะหลังบ้านจริง ๆ มันมีความท้าทายหลายอย่าง มีอุปสรรคที่เข้ามาทดลองเราตลอดเวลา มีเรื่องที่เราต้องแก้อยู่เสมอ และไม่ได้สวยงามเหมือนที่ทุกคนเห็น การสั่งผลิตเป็นเรื่องของตัวเลข สถิติ เราต้องดูสถิติว่าลูกค้าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร สีไหนขายดี ขายไม่ดี ลูกค้าชอบความสั้นความยาวแบบไหน พอทำเสร็จ หากอยู่ๆมีกระแส เช่นมีคนดังหนึ่งคนใส่ไอเทมนี้ หรือตัดผมทรงนี้ ทุกคนเปลี่ยนไปเป็นแบบนั้นทั้งหมด ก็อาจเป็นไปได้ ดังนั้นการเตรียมความพร้อมในการปรับตัวเป็นเรื่องสำคัญ
ManGu: มีเสื้อผ้าตัวไหนไหมที่เป็นตัวที่คลาสสิคของISSUEที่มีการผลิตไปเรื่อย ๆ
คุณโรจน์: เป็นกลุ่มแรกที่ผมพูดถึงคือกลุ่ม Basic Classic หากลูกค้าคิดถึง เสื้อผ้ากลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มแรกที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นของเสื้อมูมู่ กางเกงฮาเล็ม หรือเครื่องประดับที่เป็นหมวก หรือเสื้อเชิ้ตต่าง ๆ ง่าย ๆ เป็นสินค้าที่เรามีอยู่เสมอ
ManGu: ท่านมีบทกวีหรือบทความจีนใดที่ชื่นชอบไหม
คุณโรจน์: “ผู้รอบรู้จะไม่สับสน ผู้มีคุณธรรมจะไม่กังวล ผู้กล้าหาญจะไม่หวั่นเกรง” ของท่านสีจิ้นผิง ท่านพูดตอนงาน APAC ผมชอบมาก มีหลายอันที่ผมฟังแล้วขนลุก มีหลายครั้งที่ผมฟังสุนทรพจน์จากท่านสีจิ้นผิง ผมคิดว่านี่คือผู้นำของโลกจริง ๆ ผมว่ามันสะท้อนภาวะผู้นำได้ดี มันส่งถึงใจตัวผมเองได้แบบตรงไปตรงมามาก ทำให้เราเชื่อมั่นดั่งคำนั้นจริง ๆ
ManGu: สุดท้าย คุณมีอะไรจะพูดกับผู้ชมชาวจีนไหม
คุณโรจน์: ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทีมงานมาก ๆ ทำให้วันนี้เป็นอีกหนึ่งวันที่ผมมีความสุข ที่อย่างน้อยก็ได้กลับไประลึกถึงตัวเองตอนเด็กที่ผ่านมาในหลายสิบปี ถึงการทำงาน ถึงชีวิต ถึงครอบครัว หลาย ๆ อย่าง มันเป็นความทรงจำที่สวยงามในใจเสมอ เวลามีคนมาสัมภาษณ์เรื่องเหล่านี้ผมถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ที่ดีไม่มากก็น้อย ขอบคุณทุกคน ขอบคุณแฟน ๆ ทั้งชาวไทย ชาวจีน ผมว่าเราน่าจะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ถ้าจะฝากจริง ๆ ผมขอให้เรารักษาความรักนี้ไว้ ความสามัคคีนี้ไว้ร่วมกัน เราก็จะอยู่เป็นทั้งครอบครัวที่มีความสุข มีความรัก และนึกถึงกันเสมอตลอดไป
Thank you.
คุณภูภวิศ กฤตพลนารา (โรจน์) / Bhubawit kritpholnara (Roj)
Photographer : Luttsit Thongbansai @bellr_blackroom
Graphic Designer : Natchaphol Jin Srijun @Banshy.j
Coordinator : Phipusana Kitchantra @kimmy_official6365 / Lalana Akka-hatsee @joobjang_akhs
Column Writer : Sheldon Chan @sheldonchan1116