news-details

MANGU E-Magazine Cover Story Issue 258 (15th June 2023) พบกับบทสัมภาษณ์ คุณปิยจิต รักอริยะพงศ์ (คุณอ้อ) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)

ผู้อยู่เบื้องหลังแบรนด์เครื่องดื่มที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก
คุณปิยจิต รักอริยะพงศ์ (คุณอ้อ)
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน)

เรื่องราวของคุณปิยจิต รักอริยะพงศ์ (คุณอ้อ) ผู้สืบทอดกิจการและถือว่าเป็นนักธุรกิจไทยเชื้อสายจีน เดิมทีอากงของเธอทำธุรกิจร้านขายของชำ จนมาถึงรุ่นพ่อของเธอได้เริ่มต้นธุรกิจประเภทอาหาร ในปี 2544 ครอบครัวมีเริ่มทำธุรกิจเครื่องดื่มจากโรงงานเล็ก ๆ สู่อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จนกลายมาเป็นแบรนด์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพชั้นนำในประเทศไทยในที่สุด

ในขณะที่ธุรกิจของครอบครัวเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวเธอเองมีประสบการณ์การทำงานกับธนาคารต่างประเทศดัง เช่น Deutsche Bank และ Barclays PLC จนกระทั่งเมื่อครอบครัวตัดสินใจจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนกับตลาดหลักทรัพย์ และต้องการคนมาวางระบบเพื่อเตรียมความพร้อม ทำให้เส้นทางชีวิตของเธอเลือกกลับมาช่วยงานของครอบครัว

จากประสบการณ์การทำงานด้านธนาคารที่เต็มเปี่ยมด้วยความสามารถกลายมาเป็นCFO (Chief Financial Officer) เข้ามาดูแลทั้งเรื่องใหญ่และเรื่องเล็กภายใต้ธุรกิจของครอบครัว SAPPE ซึ่งต่อมาก็ได้เข้ามาตำรงตำแหน่ง CEO กลายเป็นผู้นำทัพของธุรกิจครอบครัว

ภายใต้แบรนต์ SAPPE ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของธุรกิจครอบครัว ปัจจุบันได้แพร่หลายออกไปทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ เธอทำการตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงามของเซ็ปเป้ให้มีการแข่งขันในตลาดสูงมาก และยังทำให้เซ็ปเป้ มีโอกาสเบิกทางสู่ตลาดต่างประเทศอีกด้วย

หากพูดถึงตลาดจีนที่มีขยายตัวอย่างต่อเนื่องได้กลายเป็นตัวเลือกแรกสำหรับเซ็ปเป้ ในการพาผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อความงามเข้าไปเปิดการขายในตลาตจีน แต่ถูกบังคับให้ถอนตัวออกจากตลาดจีน เนื่องจากการโดนการเลียนแบบ อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้หยุดความพยายาม เธอยังคงสำรวจตลาดในหลาย ๆ ประเทศต่อและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อที่จะกลับเข้าสู่ประเทศจีนอีกครั้ง

เธอยังไม่หยุดที่จะพัฒนาธุรกิจของครอบครัวยังมีความร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับนานาชาติสร้างแบรนด์ผ่านการประชาสัมพันธ์และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 90 ประเทศและภูมิภาคทั่วโลก เธอเติบโตจากครอบครัวชาวจีนเป็นลูกคนที่ 2 และเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว โดยใช้กำลังความสามารถและวิสัยทัศน์ของเธอเพื่อผลักดันบริษัทของครอบครัวไปสู่มาตรฐานใหม่และพร้อมเดินหน้าตั้งเป้ารายได้ Triple Growth เพื่อแตะ 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี (2565-2569) ซึ่งถือว่าเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทย

ManGu: ครอบครัวคุณเป็นครอบครัคนจีนใช่ไหมคะ ที่ บ้านมีวัฒนธรรมจีนหรือขนบธรรมเนียมประเพณีจีนอะไรบ้างไหม

คุณอ้อ: ใช่ค่ะ ไม่ว่าเทศกาลต่าง ๆ คุณพ่อคุณแม่เป็นคนจีนก็ยังมีไหว้อยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะวันตรุษจีน วันสาทรจีน วันเช็งเม้ง ซึ่งท่านมาจากเมืองซัวเถาทั้งคู่ทางฝั่งคุณพ่อมาตั้งแต่ช่วงอากงแต่พี่ชายของคุณพ่อก็ยังอยู่เมืองจีน เพราะฉะนั้นก็ยังมีลูกพี่ลูกน้องอยู่ที่เมืองจีน

 

ManGu: เนื่องจากเติบโตในครอบครัวคนจีน นอกจากการไหว้ยังมีอะไรที่คุณคิดว่าได้รับสิ่งอื่น ๆ จากครอบครัวจีน

คุณอ้อ: ก็จะมีเรื่องของคำสอน ส่วนใหญ่เราจะเห็นได้ว่าคนจีนขยัน เก็บหอมรอมริบ คุณพ่อคุณแม่ก็สอนมาแบบนั้น สอนเรื่องการไม่ประมาท ด้วยความเป็นครอบครัวคนจีน เราก็จะรู้ว่าอากงอาม่าลำบากมาอย่างไร เวลาเราคิดว่าจะทำอะไรก็จะระวังกว่าปกติ คุณพ่อ แช่ลิ้ม คุณแม่ แช่ตั้ง ตอนเด็กคุณพ่อให้เรียนภาษาจีนแต่อาจจะเรียนน้อยไปนิดหนึ่ง โดยมีชื่อจีนคือ "lín chán yì"

ManGu: เป็นลูกสาวคนเดียวในบ้านใช่ไหมคะ

คุณอ้อ: มีพี่น้อง 4 คน เป็นผู้หญิงคนเดียว นอกนั้นเป็นผู้ชายหมด

 

ManGu: ในช่วงเข้ามหาวิทยาลัยคุณเลือกเรียนด้านการเงินด้วยตัวเองหรือไม่

คุณอ้อ: เลือกเองค่ะ ต้องบอกว่าครอบครัวคนจีนคุณพ่อคุณแม่พยายามปลูกฝังให้ทำการค้าเป็นตอนอายุ 9 ขวบก็ติดรถขนของไปกับคนงานเพื่อไปส่งของไปเก็บเงิน ตอนเด็กๆ จำได้ว่าไปช่วยทำบัญชีให้พ่อทำแบบง่าย คุณพ่ออาจจะเก่งด้านนี้ท่านก็พยายามให้เราลองช่วยทำ รวมทั้งยังให้ไปขายของตามแยกไฟแดงตามตลาด

ManGu: หลังจากเรียนจบแล้วเลือกที่จะกลับมาทำงานกับครอบครัวเลยไหมคะ

คุณอ้อ: ไม่ได้กลับมาทำเลยพอเรียนจบก็ไปทำงานกับบริษัทข้างนอกและกลับมาทำงานแบงค์อยู่ในสายของ Investment Banking อยู่ 16 ปี ในเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงยังเคยไปทำที่ฮ่องกง

 

ManGu: ตอนที่ทำงานแบงค์เป็นอย่างไรบ้าง

คุณอ้อ: สนุกมาก ต้องบอกว่าได้เรียนรู้เยอะมาก จากการที่ทำงานแบงค์เพราะเราก็เปลี่ยนจากแบงค์หนึ่งไปแบงค์หนึ่ง จึงได้เรียนรู้ว่าในส่วนของ Banking โดยเฉพาะ Investment Banking ต้องทำงานค่อนข้างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นเราจะหยุดอยู่เฉยๆ ไม่ได้ต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา การทำงานแบงค์จึงมีการแข่งขันค่อนข้างสูงและมีเป้าหมายที่ค่อยข้างท้าทายมาก ในทุกๆปีเขาก็จะทดสอบความสามารถของเราตลอดเวลา รวมถึงการเรียนรู้ระบบการทำงานของแต่ละแบงค์ เราคิดว่าตอนที่เราได้เรียนรู้เยอะที่สุดคือตอนที่ย้ายจาก Deutsche Bank มาอยู่ Barclays PLC ตอนนั้น Barclays เพิ่งจะเข้ามาที่ไทย ทำให้เราเริ่มตั้งแต่ศูนย์ ชีวิตไม่ได้เหมือนกันที่เคยทำมา สร้างความอดทนให้ตัวเองเพิ่มขึ้น

ManGu: คุณพ่อคุณแม่เริ่มก่อตั้งบริษัทตั้งแต่เมื่อใด

คุณอ้อ: ต้องบอกว่าอากงทำร้านขายของชำ คุณพ่อคุณแม่เริ่มออกมาจากธุรกิจครอบครัวและทำขนมไทย เช่น ครองแครงกรอบ ถั่ว ถั่วกรอบแก้ว มะขามแก้ว ก็ทำตั้งแต่ยังเด็กๆ และโตมาเรื่อยๆปี 2001 ก็เริ่มขยายมาทำเครื่องดื่ม ช่วงนั้นพี่ชายและน้องชายก็กลับมาสานต่อ ตอนแรกเป็นโรงงานเล็กทำอยู่ในบ้านต่อมาเป็นตึกแถวและต่อมาเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พอเริ่มทำเครื่องดื่มก็เลิกทำขนมเพราะพื้นที่ไม่พออายุการเก็บค่อนข้างสั้น เมื่อก่อนเวลาขายขนมเราก็ขายส่งตลาด ขนมจะขายดีในช่วงฤดูหนาว ฤดูร้อนจะขายไม่ค่อยดี คุณพ่อและคุณแม่จึงคิดว่าจะขายอะไรในฤดูร้อน จึงคิดว่าเครื่องดื่มจะขายดีในฤดูร้อน จึงทำให้เกิดเครื่องดื่มตัวแรกเป็นโมกุโมกุ

ManGu: ทำไมตอนนั้นจึงเลือกทำเครื่องดื่มที่ใส่วุ้นมะพร้าว

คุณอ้อ: เมื่อก่อนจะมีแต่บริษัทใหญ่ที่ทำเครื่องดื่มและเราไม่มีประสบการณ์ งบการทำตลาดเราก็ไม่มีเพราะเราเป็น SME อยู่งบเราก็มีไม่เยอะ เราจึงคิดว่าเราจะออกเครื่องดื่มอะไรที่แตกต่างจากบริษัทอื่น หากเป็นเครื่องดื่มที่ใส่วุ้นมะพร้าวดื่มแล้วเคี้ยวได้ เราถือว่าเป็นเจ้าแรกในโลกเลยก็ว่าได้ไอเดียนี้ถูกผสมผสานเพราะมีอาจารย์มหาวิทยาลัยมาช่วยพัฒนาด้วย พอออกตลาดแล้วขายดีเลยจำได้ว่าผลิตไม่ทันถือว่าเกินคาดมาก ๆ

ManGu: อะไรที่ตัดสินใจให้กลับมาช่วยงานครอบครัว

คุณอ้อ: ตอนนั้นทางครอบครัวอยากให้เซ็ปเป้เข้าตลาดหลักทรัพย์ เขาอยากให้เราเข้ามาช่วยในเรื่องนี้โดยเฉพาะ

 

ManGu: ตอนเข้ามาช่วยธุรกิจครอบครัวเริ่มต้นจากการเป็น CFO ใช่ไหมคะ

คุณอ้อ: ใช่ค่ะ เข้ามาก็เป็น CFO ต้องบอกว่าตอนเข้ามาก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพราะเข้ามาในสายงานที่ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เคยทำเวลาเราอยู่แบงค์ สิ่งที่เรารู้จักและคุ้นเคยคือตัวเลข พอเรามาเป็น CFO อะไรที่เกี่ยวกับบริษัทก็เกี่ยวกับเราหมด ตอนทำงานแบงค์ก็ไม่ได้มีลูกน้องเยอะมากมีประมาณ 2-3 คน พอมาทำที่นี่ลูกน้องเป็น 10 คน ระยะห่างระหว่างอายุก็มีผล เพราะบริษัทเป็นบริษัทของคนรุ่นใหม่เราก็ไม่คุ้นเคย ต้องบอกว่าโรงงานก็ส่วนหนึ่ง ออฟฟิศก็ส่วนหนึ่ง โรงงานก็จะมีใหม่บ้างเก่าบ้าง แต่ออฟฟิศส่วนใหญ่จะเป็นเด็กรุ่นใหม่ เป็นเด็กจบใหม่หรือเพิ่งจบมาไม่กี่ปีเพราะฉะนั้นแนวทางการทำงานจึงไม่เหมือนกัน

 

ManGu: สิ่งที่ท้าทายมากที่สุดในตอนนั้นคืออะไร

คุณอ้อ: จริง ๆ ต้องบอกว่าท้าทายหลายเรื่อง เรื่องการบริหารคนก็เป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เพราะเราอยู่ในแบงค์เราถูกเทรนมาว่าเราดูแค่ผลลัพธ์ของเราที่เราดูแลไม่ต้องสนใจรอบข้างมากนัก แต่พอบริหารบริษัทเซ็ปเป้ เนื่องจากคนค่อนข้างเยอะเราก็เป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารจะบอกว่าจะไม่สนใจคนรอบข้างเลยก็ไม่ได้เพราะเราต้องขับเคลื่อนไปด้วยกันทุกคน จึงเป็นเรื่องที่ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติของเราเองอย่างมาก

ManGu: มีวิธีการปรับการทำงานของคุณอย่างไร

คุณอ้อ: ช่วงปีแรกอาจจะปรับยากนิดหน่อย เมื่อก่อนอยู่แบงค์ถ้าอยากได้ใครก็ใช้เงินจ้างแต่พอมาเป็นบริษัทเซ็ปเป้ บริษัทเราไม่ได้ใหญ่มาก เงินเราไม่ได้มีเยอะจะไปจ้างคนแพงๆบริษัทเราอาจจะยากหน่อย เราจึงต้องปรับคนที่มีอยู่ด้วยการที่เข้าใจใน Generation Y,Z พวกเขาจะมีคำถามเยอะมาก การที่เราจะสั่งอย่างเดียวมันไม่ได้ เราจึงต้องตั้งเป้าหมายร่วมกันแต่ข้อดีคือเด็กรุ่นใหม่มีพลังเยอะมากทำแบบสุดโต่ง ถ้าเราเข้าใจเขาก็จะสามารถดึงศักยภาพเขาได้เยอะมาก

 

ManGu: เนื่องจากผู้บริหารเป็นคนในครอบครัวเคยมีปัญหากันบ้างไหม

คุณอ้อ: มีค่ะ เราคิดว่าน่าจะเป็นปัญหาปกติของการทำธุรกิจครอบครัว ข้อดีคือ ณ ตอนที่เราเข้ามาแล้วเริ่มจากแผนผังองค์กร มันมีความชัดเจนส่วนหนึ่งจึงทำให้การขัดแย้งจะลดลงไปเยอะ เพราะไม่งั้นเราทุกคนเป็นเจ้าของเท่าๆกันหลังจากเราจัดแผนผังองค์กรให้ชัดเจนว่าใครทำหน้าที่อะไรการกระทบกระทั่งกันก็จะน้อยลง

 

ManGu: หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ทางบริษัทมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงจากเดิม

คุณอ้อ: สิ่งที่เปลี่ยนมากที่สุดคือเรื่องของการทำสร้างทีม เราว่าเราแข็งแกร่งมากขึ้น คนรู้จักเรามากขึ้น สามารถดึงดูดคนเข้ามาทำงานกับเราได้มากขึ้น เนื่องจากเรามีเจ้าของรายอื่นด้วย ซึ่งผู้ถือหุ้นรายอื่น ๆ ก็พยายามมากดเราตลอดเวลา ซึ่งมันก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่ง ทำให้เราไม่สามารถผ่อนคลายได้ เราจะคิดอยู่ตลอดว่าจะทำอย่างไรให้ธุรกิจมันมั่นคงมากขึ้น ซึ่งก็ต้องคิดถึงคนรอบข้างมากขึ้นด้วยเช่นกัน

ManGu: ด้านแนวผลิตภัณฑ์จะออกแนว Functional แทบทั้งหมด

คุณอ้อ: ใช่ค่ะ ถ้าในเมืองไทยจะเห็นว่าเราเป็น Functional ค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าต่างประเทศเราจะขาย "โมกุโมกุ" ซึ่งจะเน้นในเรื่องความสนุก ความสดชื่นมากกว่า

 

ManGu: การตลาดเป็นอย่างไรบ้าง อย่างบิวตี้ดริ้งค์ ที่ออกมาใหม่ก็ไต้รับความนิยมมากกับสโลแกนที่ว่า "แค่ดื่ม ก็สวย"

คุณอ้อ: บิวติดริ้งค์ เราคิดว่าเป็นสินค้าที่ทำให้เซ็ปเป้โด่งดัง เราเป็นบริษัทเล็กที่สามารถครีเอทประเภทของ Functional Drink ในเมืองไทยได้ คู่แข่งเราส่วนใหญ่ก็เป็นบริษัทใหญ่ ทั้งนั้นการตลาดหลักของเราคือเข้าใจผู้บริโภคผู้หญิงทุกคนอยากสวย มีอะไรที่ทำให้ผิวดีขึ้น ขับถ่ายดีขึ้นอย่างแรกคือเรื่องของโปรดักส์ อย่างที่สองคือเรื่องของคอมมูนิเคชั่น เราเป็นเจ้าแรกที่ทำป้ายคล้องคอขวด เพื่อจะให้ผู้บริโภคคิดถึงว่าวันนี้คุณดูแลตัวเองหรือยัง วันนี้คุณเข้าห้องน้ำหรือยัง รู้สึกอึดอัดไหม ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมบิวติ ดริ้งค์ถึงเป็นกระแสและดังมาก

 

ManGu: ตอนนี้กระแสเป็นอย่างไร

คุณอ้อ: ตอนนี้ในส่วนของ Functional Drink ก็มีหลากหลายประเภท เราก็ยังทำคอมมูนิเคชั่นอย่างต่อเนื่อง เราคิดว่าตอนนี้ผู้หญิงเองไม่ได้ยึดความสวยในแบบเดียว เรามีความสวยที่แตกต่างกันไป เรามองว่าบิวตี้ดริ้งค์อาจจะต้องพัฒนาในส่วนของการดูแลสุขภาพมากขึ้นด้วย คอมมูนิเคชั่นใหม่ก็จะเน้นสุขภาพเพิ่มขึ้น คือการสวยจากภายใน ถ้าสุขภาพดี ความสวยก็จะออกมา

ManGu: มีเปลี่ยนสูตรด้วยใช่ไหม

คุณอ้อ: มีการเปลี่ยนสูตร เราปรับสูตรไปเรื่องของการที่ไม่ใส่น้ำตาล ช่วงแรกยังมีน้ำตาลอยู่ ช่วงที่สองเราปรับโครงสร้างใหม่หมดเลย และไม่มีน้ำตาลเลย

 

ManGu: ยังมีผลิตภัณฑ์ไหนที่เป็นที่นิยม

คุณอ้อ: จริงๆ ก็มีหลายตัวล่าสุดเราทำกับ Danone ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องดื่มยักษ์ใหญ่ระดับโลก ออกมาเป็นเครื่องดื่มน้ำผสมวิตามินแบรนด์ B'lue ล่าสุด แต่เดี๋ยวเราจะมี "เซ็ปเป้ อินหยาง" เครื่องดื่มสมุนไพรแบบขวดช็อต ตัวช่วยบรรเทาอาการระคายคอ

 

ManGu: ทราบมาว่าคุณเคยประสบปัญหาตอนที่จะทำตลาตในประเทศจีนใช่หรือไม่

คุณอ้อ: ถือว่าเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ เราคิดว่าเป็นบทเรียน ตอนนั้นที่ไปขายที่เมืองจีน ตอนนั้นเราทำตลาดได้ดีมากคนจีนก็จะรู้จักโมกุโมกุค่อนข้างเยอะ เลยมีเรื่องของสินค้าเลียนแบบในจีน ซึ่งเป็นบทเรียนว่าเวลาเราจะทำอะไรในแต่ละประเทศ เราต้องให้ความสำคัญในเรื่องของเครื่องหมายการค้า ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษหรือภาษาประเทศเขา เราก็ต้องจดให้หมด เราก็หาวิธีแก้ปัญหากันไป

ManGu: การพบเจอปัญหานี้คือหลังจากที่คุณรับตำแหน่งเป็น CEO ใช้ไหม

คุณอ้อ: เหมือนเราโดนรับน้องนิดหน่อย เพราะเราขึ้นมาเป็น CEO คือตอนที่เพิ่งล้มเลิกตัวแทนจำหน่ายในจีน ด้วยปัญหาเรื่องของเครื่องหมายการค้าด้วย พอเป็น CEO ยอดขายก็ลง เพราะตลาดจีนหายไปเลยช่วงนั้นยอดขายก็หายไป ด้วยองค์ประกอบหลาย ๆอย่างจึงทำให้เราไม่ได้มีการเตรียมตัวที่ดีพอ เราต้องมาแก้ปัญหาเรื่องของเครื่องหมายการค้าที่ถูกจดไปแล้วและตัวแทนจำหน่ายจะมั่นใจเรื่องของการขายสินค้าตอนนี้ไหม นี่จึงเป็นจุดที่เราสะดุดขาตัวเองพอสมควร ต้องบอกว่าเราพยายามแก้เรื่อย ๆ ตอนนี้เองเราก็มีตัวแทนจำหน่ายเจ้าใหม่เริ่มทำเรื่องของออนไลน์ เพราะจีนมีตลาดออนไลน์ค่อนข้างแข็งแรง

 

ManGu: มีสินค้าอื่นขายในจีนไหมนอกจาก "Moku Moku"

คุณอ้อ: มีผลิตภัณฑ์น้ำมะพร้าวที่และตอนนี้วัตถุดิบส่งไปเยอะพอสมควร น้ำ เป็นน้ำมะพร้าว 100% ไม่มีสารปรุงแต่ง ไม่มีสารกันบูด เพราะฉะนั้นอาจจะไม่เหมือนกันทุกขวด มันขึ้นอยู่กับฤดูด้วย ถ้าฤดูร้อนอาจจะหวานมากหน่อย ฤดูหนาวอาจจะหวานน้อยหน่อย นี่เป็นมะพร้าวน้ำหอมซึ่งเป็นมะพร้าวที่มีความหวานมากที่สุดในโลก

 

ManGu: ตอนนี้ที่คุณอยากทำการตลาดเป็นพิเศษคือผลิตภัณฑ์ตัวไหน

คุณอ้อ: ผลิตภัณฑ์ที่เราโฟกัสคือโมกุโมกุและบิวติ ดริ้งค์ เพราะบิวติ ดริ้งค์ค์มีนักท่องเที่ยวชาวจีนมาซื้อดื่มค่อนข้างมาก เราจึงเชื่อว่าจะสามารถเข้าตลาดในประเทศจีนได้

ManGu: มีแนวทางในการพัฒนาธุรกิจภายใต้การนำของคุณอย่างไรในอนาคต 3-5 ปี

คุณอ้อ: ปีที่แล้วตั้งเป้าไว้หมื่นล้าน ช่วงปีที่ผ่านมาเราก็ปิดรายได้ไปอยู่ที่ประมาณ 4,400 ล้าน- 4,500 ล้าน แผนธุรกิจคือเราอยากโตแบบก้าวกระโดด สิ่งที่เราทำอย่างเข้มข้นคือการที่เราโฟกัสในตลาดต่างประเทศ เราขายอยู่ประมาณ 90 กว่าประเทศทั่วโลก ตอนนี้ที่เราโฟกัสหลัก ๆ คือประเทศใหญ่ที่โมกุโมกุเข้าไปอยู่ สิ่งที่เราพยายามทำมากขึ้นคือเรื่องของการตลาด จะทำอย่างไรให้โมกุโมกุเป็นตราสินค้าสากลให้ได้ พราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่าเราทำการตลาดผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกับวง k-pop ของเกาหลีใต้อย่าง BTS หรือเข้าไปอยู่ในไทอินของซีรีส์เกาหลี ตอนนี้โมกุโมกุต่อนข้างเป็นที่นิยมในประเทศเกาหลีใต้ เรามองว่าในเกาหลีใต้เราสามารถที่จะขายได้ในหลาย ๆ ช่องทางอีกอันที่จะโฟกัสมากขึ้น คือโซนยุโรปโมกุโมกุเองก็ทำได้ดีในประเทศฝรั่งเศส ก็จะเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งของการทำการตลาตในยุโรปอีกเช่นกัน

ManGu: ในส่วนของตลาดจีนมีวางแผนอะไรบ้างไหม

คุณอ้อ: มองว่าผลิตภัณฑ์เรายังมีความเป็นไปได้อยู่ค่อนข้างมาก เป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับเรา ตอนนี้อย่างแรกที่เราโฟกัสมาก ๆ คือสินค้าออนไลน์ เป็นหนึ่งในช่องทางที่เราเริ่มได้เร็ว ค่าใช้จ่ายอาจจะน้อยหน่อย

 

ManGu: ช่วงโควิด-19 ทางบริษัทเซ็ปเป้มีผลกระทบอะไรบ้าง

คุณอ้อ: มีผลกระทบแน่นอน โควิดมาประมาณปี 2020 เนื่องจากมีการล็อกดาวน์สิ่งแรกที่เราทำคือดูแลเรื่องสุขภาพของพนักงานเราก่อน จะทำอย่างไรให้การทำงานเป็นปกติโดยที่เราเชื่อว่าเราเป็นบริษัทแรก ๆ ที่ให้พนักงาน Work from home เราเริ่มปรับตัวเองในเรื่องของเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น อีกส่วนหนึ่งคือในหลายๆ ประเทศก็มีล็อกดาวน์เหมือนๆ กันจะทำอย่างไรให้สินค้ายังส่ง ยังมีอยู่ได้ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เราบริหารจัดการค่อนข้างเข้มงวดมาก เป็นอะไรที่ยากลำบากมาก แต่เราเชื่อว่ามันก็มีข้อดีข้อมัน เนื่องจากมีค่าขนส่งที่มากขึ้น ก็มีสินค้าหลาย ๆ ตัวที่สู้ค่าขนส่งไม่ไหว ทำไมโมกุโมกุสามารถแทนที่สินค้าพวกนั้นได้ เมื่อสถานการณ์โควิด-19 ค่อย ๆ ดีขึ้นทำให้ยอดขายของโมกุโมกุพุ่งขึ้นค่อนข้างดี โรงงานการผลิตก็ยังทำงานปกติ

ManGu: สามีคุณได้ช่วยกันทำงานไหม มีลูกก่อนหรือหลังเป็น CEO

คุณอ้อ: ไม่ทำงานด้วยกันกับสามี ต่างคนต่างทำงาน มีลูกก่อนเป็น CEO นานมาก มีลูก 3 คน ตั้งแต่อยู่แบงค์

 

ManGu: ระหว่างครอบครัวกับงานคุณแบ่งเวลาอย่างไร

คุณอ้อ: ตอนทำงานเราก็ทำเต็มที่ วันเสาร์วันอาทิตย์จะไม่ค่อยรับงาน ส่วนใหญ่ก็ใช้เวลาอยู่กับลูก ตอนนี้ลูกโตแล้วอาจจะไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันมากนัก เพราะลูกอาจจะไม่ได้ต้องการให้เราอยู่กับเขามากขนาดนั้น ลูกคนโตอายุ 17 ปี ลูกคนที่สอง 16 ปี ลูกคนที่สาม 13 ปี

 

ManGu: มีปรัชญาจีน หรือหนังสือจีนที่มีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตหรือการทำงานบ้างไหม

คุณอ้อ: มีชอบอยู่ 1 อันของซุนวู "ชมคนด้วยวาจา มีค่ายิ่งกว่า มอบไข่มุกให้เป็นของขวัญ ทำร้ายคนด้วยวาจา สาหัสยิ่งกว่า ทิ่มแทงด้วยหอกดาบ" มันคอยเตือนสติเราเวลาเราพูดกับใครหรือคุมคนเยอะๆ คำพูดเราสำคัญมาก การที่เราชื่นชมก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังใจการทำงาน หรือเราจะว่าใครก็ควรต้องคิดนิดนึ่ง

 

ManGu: สุดท้ายนี้อยากฝากอะไรถึงผู้อ่านชาวจีนไหม

คุณอ้อ: ขอฝากแบรนด์โมกุโมกุและบิวติ ดริ้งค์ เพราะประเทศจีนเป็นประเทศที่สำคัญ บริษัท เซ็ปเป้ อยากเน้นและทำการตลาดในประเทศจีนให้แข็งแกร่งมากขึ้น จึงอยากฝากสินค้าของเราให้กับผู้บริโภคชาวจีนไว้ด้วยนะคะ

 

Thank you.

คุณปิยจิต รักอริยะพงศ์ (คุณอ้อ) / Piyajit Ruckariyapong

 

Photographer : @ktpx.kritt 
Graphic Designer :
Natchaphol Jin Srijun @Banshy.j
Coordinator : Natruja Ming @fahnrj  
Column Writer : Yue Han

You can share this post!

MANGU E-Magazine Cover Story Issue 259 (1st July 2023) พบกับบทสัมภาษณ์ คุณปิยาภรณ์ แสนโกศิก (คุณปุ้ย) หรือ“แม่ปุ้ย TPN” ตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท ทีพีเอ็น โกลบอล จำกัด (TPN Global)

MANGU E-Magazine Cover Story Issue 257 (1st June 2023) พบกับบทสัมภาษณ์ "คุณสุธิดา มงคลสุธี" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)