สัมภาษณ์คุณจรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group
ในการจัดอันดับอภิมหาเศรษฐีในประเทศไทยที่เพิ่งประกาศในปี 2564 ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเห็นว่าผู้หญิงเริ่มเข้ามามีบทบาทในโลกธุรกิจมากขึ้นจากการทำธุรกิจของตัวเอง โดยอาศัยความสามารถเฉพาะตัว ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก แต่มาจากวิสัยทัศน์ที่โดดเด่นและกว้างไกล ที่ได้อุทิศตนเพื่ออาชีพที่รัก และเปล่งประกายความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของนักธุรกิจหญิง คุณจรีพร จารุกรสกุล ติด 50 อันดับแรกของ Forbes Rich List of Thailand ในปี 2564 และนับได้ว่าเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจหญิงที่โดดเด่นที่สุด
คุณจรีพร เริ่มต้นทำธุรกิจเมื่ออายุ 26 ปี หลังจากสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี เธอตัดสินใจลาออกจากงานเดิมและจัดตั้งบริษัทแรก ซึ่งเป็นบริษัทเทรดดิ้ง ในปี พ.ศ. 2546 เมื่ออายุ36 ปี เธอได้เริ่มทำธุรกิจการพัฒนาและให้เช่า ศูนย์กระจายสินค้า คลังสินค้าและโรงงานแบบ Built-to-Suitด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบแหลม ในฐานะผู้นำ เธอกล่าวว่า “ในตอนนั้นประเทศไทยอยู่ในช่วงการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และอุตสาหกรรมโลจิสติกส์เพิ่งเริ่มต้นในประเทศไทย ต้นทุนด้านโลจิสติกส์ในประเทศไทยยังสูงมาก” แต่เธอเล็งเห็นโอกาสในการทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ และได้จัดตั้ง "บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด" ขึ้น คุณจรีพรประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจโลจิสติกส์เป็นอย่างมาก จนในปี พ.ศ. 2555 ได้นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และในปี พ.ศ. 2558 ได้เข้าซื้อกิจการ บริษัท เหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของไทย ด้วยเงินจำนวน 43,000 ล้านบาท หลังจากนั้นคุณจรีพร ได้จัดแบ่งธุรกิจของ WHA Group ออกเป็น 4 กลุ่มหลักๆ ได้แก่กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม กลุ่มสาธารณูปโภคและพลังงาน และกลุ่มดิจิตอลแพลตฟอร์ม โดยปัจจุบันบมจ. ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น มีนิคมอุตสาหกรรม ทั้งหมด 11 แห่ง ในประเทศไทยโดยนิคมฯ 10 แห่งตั้งอยู่ในเขตระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC และอีก 1 แห่งอยู่ในประเทศเวียดนาม
ทั้งนี้ประเทศจีนมีบทบาทสำคัญและเป็นผู้สนับสนุนนโยบายระดับชาติและการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างเข้มแข็ง โดยเฉพาะในด้านนวัตกรรมอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่มีเทคโนโลยีสูง
แน่นอนว่าเส้นทางการเติบโตของ WHA Group ก็ย่อมประสบกับอุปสรรคต่างๆ อยู่บ้าง ในระหว่างการสัมภาษณ์ คุณจรีพรกล่าวว่า “ดิฉันเริ่มทำธุรกิจของตัวเองตั้งแต่อายุ 26 ปี เรียกได้ว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ดิฉันเคยประสบกับวิกฤตใหญ่ๆ เกือบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในประเทศไทย วิกฤตการณ์ของต้มยำกุ้ง วิกฤตการเมือง และภัยพิบัติน้ำท่วม รวมถึงวิกฤตโรคระบาดครั้งใหม่นี้ แต่กลับคิดว่าวิกฤตคือโอกาส และเผชิญหน้ากับมัน จากวิกฤตการระบาดของโรคโควิด 19 ในปี 2563 เกือบทุกอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างหนัก อย่างไรก็ตามธุรกิจอีคอมเมิร์ซ กลับได้รับผลกระทบในเชิงบวก เนื่องจากผู้คนรู้สึกถึงความสะดวกสบายจาก "การซื้อของออนไลน์" ทำให้อุตสาหกรรมโลจิสติกส์ของประเทศไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด ส่งผลให้ธุรกิจโลจิสติกส์ของดับบลิวเอชเอได้รับผลในเชิงบวกตามไปด้วย
นอกจากนี้ คุณจรีพรยังเป็นผู้นำที่ช่วยเหลือสังคม ในช่วงที่โรคโควิด 19 ระบาดรุนแรงที่สุดในประเทศไทย เธอได้เปลี่ยนคลังสินค้าให้เป็นโรงพยาบาลสนามรองรับผู้ป่วยโควิด โดย WHA Group ได้ร่วมมือกับสาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ องค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ โรงพยาบาลสมุทรปราการ โรงพยาบาลสนามสมุทรปราการรวมใจ 5 (WHA) ในพื้นที่โครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร กม. 4 นอกจากนั้น WHA Group ยังได้ร่วมกับ เครือเจริญโภคภัณฑ์ และกลุ่มโรงพยาบาลจุฬารัตน์ สร้างโรงพยาบาลสนาม "ซีพี – ดับบลิวเอชเอ - จุฬารัตน์" รองรับกลุ่มผู้ป่วยโควิด-19 กลุ่มระดับสีเหลือง-สีส้ม ณ พื้นที่คลังสินค้า โครงการดับบลิวเอชเอ เมกกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ (ชลหารพิจิตร กม. 4) จังหวัดสมุทรปราการ อันเป็นการสนับสนุนรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ในการต่อสู้กับโรคระบาดในครั้งนี้
ปัจจุบันคุณจรีพร อายุ 54 ปี เธอยังอยู่บนเส้นทางแห่งนวัตกรรมและการพัฒนาองค์กร เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการพัฒนาของ AI , 5G , ดิจิทัล และเทคโนโลยีอื่นๆ เข้าสู่ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรม และด้วยวิสัยทัศน์ที่เฉียบแหลม ทำให้เธอสามารถวางแผนล่วงหน้าและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลได้อย่างชาญฉลาด โดย WHA Group ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในเเต่ละกลุ่มธุรกิจ ที่เรียกว่า Digital Innovation เพื่อซัพพอร์ตทั้งสี่กลุ่มธุรกิจ นอกจากนี้ยังได้ทำ Digital Transformation เพื่อปรับโครงสร้างองค์กร กระบวนการทำงาน การบริหารจัดการธุรกิจทั้งหมด ตั้งแต่กระบวนการคิด การออกแบบ การบริหารทรัพยากรต่างๆ ไปจนถึงวัฒนธรรมขององค์กร เพื่อรองรับสำหรับความสำเร็จของดับบลิวเอชเอในอนาคต”
ManGu : ช่วยเล่าจุดเริ่มต้นในการทำธุรกิจหน่อยค่ะ
Jareeporn : หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ดิฉันได้เข้าทำงานในบริษัทยาแห่งหนึ่ง ระหว่างนั้นก็เรียนปริญญาโทไปด้วย พอเรียนจบปริญญาโท ก็เปิดบริษัทเทรดดิ้ง ตอนอายุ 26 ปี หลังจากนั้นบริษัทก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงอายุประมาณ 36 ปี ดิฉันก็เริ่มต้นทำธุรกิจด้านโลจิสติกส์ โดยเปิดบริษัท “WHA Alliance” ตอนที่เริ่มเปลี่ยนธุรกิจ ดิฉันก็เริ่มประสบปัญหาต่างๆ จึงตัดสินใจเดินทางไปที่ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซียเพื่อหาพาร์ทเนอร์มาร่วมงานด้วย และในปี พ.ศ. 2555 ก็นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
ManGu : จุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากทำโลจิสติกส์คืออะไรคะ
Jareeporn : เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วประเทศไทยมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว แต่ระบบ
โลจิสติกส์ของไทยยังต้องพัฒนาอีกมาก แทบจะไม่มีใครรู้เลยว่าโลจิสติกส์คืออะไร ซึ่งดิฉันมองเห็นโอกาสทางธุรกิจโลจิสติกส์เลยตัดสินใจเข้ามาทำธุรกิจนี้ค่ะ
ManGu : แล้วตอนที่มูลค่าการตลาดของ WHA Group มีมูลค่าระดับหมื่นล้าน ทราบมาว่าตอนนั้น มีพนักงานแค่ 30 กว่าคน บริษัทอื่นๆ ที่ทำธุรกิจโลจิสติกส์เหมือนกัน เขากลับต้องการพนักงานมาดูแลเยอะมาก เพราะอะไรทาง WHA Group ถึงสามารถใช้พนักงานที่น้อยแต่กลับมีประสิทธิภาพในการทำงานที่มากคะ
Jareeporn : ใช่ค่ะ ช่วงแรกของดับบลิวเอชเอ มีพนักงานแค่ 30 กว่าคนค่ะ ดิฉันเป็นคนทำธุรกิจที่ไม่ได้มองว่าถ้ามีพนักงานเยอะๆ คือคำตอบ เรามองว่าอะไรที่ไม่ต้องทำเองเราสามารถใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้ ทุกวันนี้ WHA Groupมีบริษัทในเครือมากกว่า 60 บริษัท แต่ก็ยังมีพนักงานกว่า 600 คนเองค่ะ
ManGu : WHA Group มีจุดที่โดดเด่นอย่างไรบ้างคะ
Jareeporn : ก่อนหน้านี้คนที่ทำธุรกิจคลังสินค้า พอมีที่ดินไม่รู้จะทำอะไรก็ทำคลังสินค้าและขนาดไซส์ที่ทำก็เล็ก แต่ WHA Group เลือกที่จะทำสิ่งที่ใหญ่ที่สุดเเละยาก นั่นก็คือ การทำคลังสินค้าเเบบใหม่ ในคอนเซ็บป์ Built-to-Suit โดยสร้างตามความต้องการของลูกค้า เพื่อช่วยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เเละลดต้นทุนมากที่สุด สิ่งที่ดิฉันประทับใจมากที่สุดคือ ตอนที่ได้สร้างคลังสินค้าให้กับลูกค้าบริษัทญี่ปุ่นรายหนึ่ง โดย CEO เดินทางมาจากประเทศญี่ปุ่น และต้องบอกว่ามาตรฐานของบริษัทญี่ปุ่นนั้นสูงมาก แต่ลูกค้ารายนี้ชื่นชมกับคุณภาพคลังสินค้าของดับบลิวเอชเอเป็นอย่างมาก และยินดีที่จะแนะนำ WHA Group ไปยังลูกค้าหรือบริษัทญี่ปุ่นอื่น ๆ ด้วย สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า คุณภาพ และมาตรฐานของดับบลิวเอชเอที่มอบให้กับลูกค้านั้นได้ใจลูกค้า และทำให้ทั้งลูกค้ารายเก่าและรายใหม่พึงพอใจเป็นอย่างมาก
ManGu : ธุรกิจของ WHA Group หรือธุรกิจโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมที่เป็นจุดเด่น ถ้าเปรียบเทียบกับตลาดต่างประเทศ คิดว่าเราดีกว่าอย่างไร
Jareeporn : ถ้าเป็นเรื่องของมาตรฐานการก่อสร้างโรงงานหรือคลังสินค้า รวมทั้งการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ นับว่าได้มาตรฐานระดับโลก จนมีบริษัทจีนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเคยส่งทีมงานมาศึกษาดูงานด้านโลจิสติกส์ และนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ แต่ในขณะเดียวกันประเทศจีนเองก็มีความโดดเด่นเรื่อง Operation ด้านโลจิสติกส์ ซึ่งจีนทำได้ดีกว่าประเทศไทย เราเองก็เคยไปดูงานที่ประเทศจีนเพื่อเรียนรู้ในเรื่องที่โดดเด่น เขาทำเรื่องหุ่นยนต์ต่างๆ ได้ดี เราก็ไปดูงานของเขาบ้างเพื่อที่จะเอามาปรับใช้ ดิฉันคิดว่าเราสามารถเรียนรู้กันและกันกับประเทศจีนได้ค่ะ
ManGu : หลักการสำคัญที่ทำให้ WHA Group ประสบความสำเร็จคิดว่าเป็นอะไรคะ
Jareeporn : วิสัยทัศน์ของผู้บริหารต้องมองการณ์ไกล มองให้ขาด ต่อมาคือทีมงานและทีมผู้บริหารตรงนี้สำคัญมาก องค์กรจะไปต่อไม่ได้ถ้าเกิดว่าทีมผู้บริหารไม่พัฒนา ดังนั้นจึงต้องมีการพัฒนาผู้บริหาร และบุคลากรอยู่ตลอดเวลา ถ้าทำได้ทั้งสองอย่างนี้ได้ก็จะสมบูรณ์ค่ะ
ManGu : เมื่อเจอปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน มีวิธีรับมือกับปัญหาต่าง ๆ อย่างไร
Jareeporn : ดิฉันทำธุรกิจมาตั้งแต่อายุ 26 ปี และที่ผ่านมาก็มีปัญหามาตลอดค่ะ ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอุทกภัย ดิฉันไม่ได้มองว่าเป็นปัญหา แต่มองว่า ทุกวิกฤตก็มีโอกาส ทุกปัญหามันก็มีชาเลนจ์อยู่ในนั้น อยู่ที่มุมมองความคิดมากกว่าว่าเรามองอย่างไร และบริหารอย่างไรมากกว่าค่ะ
ManGu : วางแผนงานในอนาคตไว้อย่างไรบ้าง
Jareeporn : เรามีแนวทางการวางแผนสำหรับธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มที่แตกต่างกัน ดับบลิวเอชเอ มีแผนนำเทคโนโลโลยีมาใช้ในเเต่ละกลุ่มธุรกิจ ที่เรียกว่า Digital Innovation เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท และในอนาคต เรามีแผนจะขยายธุรกิจทั้งในแนวกว้างและแนวลึก และเติบโตขึ้นเป็น Global Company รวมถึงก้าวไปสู่การเป็น Tech Company ค่ะ
ManGu : WHA Group ได้ใจลูกค้าขนาดนี้เพราะอะไรคะ
Jareeporn : เราคิดว่าที่ลูกค้าแฮปปี้กับเราในตอนนี้ คือเราไม่เคยหยุดนิ่งเลยในแต่ละครั้งที่มีการส่งมอบอาคารให้กับลูกค้า ลูกค้าแต่ละรายของเราไม่ได้เช่าแค่อาคารเดียว ลูกค้าที่เช่าเราตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นลูกค้าเราอยู่ ดับบลิวเอชเอใส่ใจมากๆ เรามองว่าเขาไม่ใช่แค่ลูกค้า แต่จะทำอย่างไรที่จะให้เขาเติบโตได้เร็ว และลูกค้าส่วนใหญ่ของดับบลิวเอชเอเป็นบริษัทต่างชาติ เช่น จีน ญี่ปุ่น และประเทศอื่นๆ เรามีทีมงานขายที่คอยให้ความช่วยเหลือ และแนะนำลูกค้าแบบครบวงจร เช่น กรณีลูกค้าต้องการได้รับการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ และการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนของไทย (BOI) ทีมงานขายของเราก็สามารถให้คำแนะนำ และประสานงานให้กับลูกค้าได้ค่ะ
ManGu : สไตล์การทำงานของคุณจรีพรเป็นอย่างไรบ้างคะ
Jareeporn : ดิฉันเป็นคนที่ชัดเจนมากๆค่ะ ลูกน้องอาจจะมองว่าดิฉันดุ เพราะดิฉันเองเป็นคนเข้มงวดในหลายๆ เรื่อง อย่างเช่นเรื่องเวลา ก็จะเข้มงวดมากเป็นพิเศษ เพราะดิฉันจะมีประชุมตลอดเวลา ถ้าไม่ตรงต่อเวลาก็จะกระทบกับอีกหลายฝ่าย ดังนั้นดิฉันจึงต้องชัดเจนในการทำงาน รวมทั้งให้เกียรติคนทำงานเสมอ เพราะพนักงานแต่ละคนก็จะมีความคิดเป็นของตัวเอง และดิฉันเองก็เป็นคนที่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นอยู่เสมอ
ManGu : ถ้าลูกน้องทำงานผิดพลาดคุณจรีพรจะทำอย่างไรคะ
Jareeporn : หากผิดพลาดต้องถามว่าโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ หรือเพราะไม่รู้ ดิฉันจะบอกพนักงานทุกคนเสมอว่าถ้าคุณเป็นหัวหน้าเขา ลูกน้องคุณไม่เก่งเท่าคุณหรอก เพราะหนึ่ง อายุเขาน้อยกว่าคุณ สองประสบการณ์เขาน้อยกว่าคุณ ถ้าเขาเก่งเท่าคุณเขาก็เป็นหัวหน้าคุณได้แล้ว ดังนั้นเวลาเราสร้างคน เราต้องดูว่าตอนนั้นเขาพัฒนาถึงตรงไหน แล้วเราจะให้ขอบเขตในการตัดสินใจว่าคุณมีโอกาสผิดพลาดได้กี่เปอร์เซ็นต์ และความเสียหายขนาดไหนที่บริษัทจะรับได้ ดิฉันจะไม่ได้เรียกว่าความผิดพลาด แต่จะสอนคนเสมอว่า เวลามีอะไรให้ถาม เพราะดิฉันเป็นคนพูดเร็ว คิดเร็ว ถ้าดิฉันสั่งงานไปไม่เข้าใจอะไรก็ให้ถาม แต่ถ้าไม่ถามแล้วทำผิด คุณจะโดนดุ แต่ถ้าถามคำถามเดิมถึง 3 ครั้งเมื่อไหร่ แปลว่าคุณต้องพิจารณาตัวเองว่าคุณไม่ได้ใส่ใจตอนที่ดิฉันพูด ก็ต้องมาคุยกันว่าเป็นเพราะอะไร
ManGu : เห็นบอกว่าได้อ่าน “สามก๊ก” จบไปหลายรอบมากตั้งแต่เด็กๆ เลย ชอบในส่วนวรรณคดีของจีนเหรอคะ
Jareeporn : เป็นคนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าอะไรที่อ่านได้ดิฉันจะอ่านหมด เนื่องจากดิฉันต้องการความรู้ ซึ่งในสมัยก่อนไม่มี Social ไม่มี Google ให้เราหาความรู้ ตอนอายุ 10 ขวบ คุณพ่อซื้อหนังสือสามก๊กมาให้พี่ชายอ่าน แต่พี่ชายไม่อ่าน ดิฉันก็เอามาอ่านและเป็นคนชอบอ่านหนังสือทุกประเภทค่ะ
ManGu : อ่านหนังสือเยอะขนาดนี้มีปรัชญาจีนที่มีอิทธิพลกับการทำงานหรือว่าเราใช้ชีวิตของ คุณจรีพร บ้างไหมคะ
Jareeporn : มันไม่ได้มีข้อไหนข้อเดียวค่ะ เพราะในการทำงาน การใช้ชีวิตแต่ละเรื่องเราใช้ประโยชน์ได้หลากหลายค่ะ หลายๆ คนก็ชอบถามว่าเรามีใครเป็นไอดอล เราบอกเราไม่ได้มีใครเป็นไอดอล เพราะสิ่งที่เรามองแต่ละคนเขามีจุดเด่นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตรงนั้นเราสามารถเอาจุดเด่นมาใช้ได้
ManGu : คุณจรีพรเป็นคนจีนหรือเปล่าคะ แล้วตอนนี้ชีวิตประจำวันยังมีขนบธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมจีนอะไรที่มีส่วนเกี่ยวข้องในชีวิตไหมคะ
Jareeporn : ใช่ค่ะ บรรพบุรุษของดิฉันมาจากซัวเถา ประเทศจีน คุณพ่อของดิฉันเป็นคนเข้มงวดมาก ดิฉันจึงถูกเลี้ยงดูมาอย่างเข้มงวดมากเลยค่ะ เราก็มีขนบธรรมเนียมหรือวัฒนธรรมจีนปกติเลย ตรุษจีน การดูแลพ่อแม่ การให้ความรัก หรือการเคารพญาติผู้ใหญ่ ครบหมดเลยค่ะ โดยเฉพาะความสัมพันธ์ในครอบครัว ดิฉันว่าการเป็นครอบครัวไม่ได้มีในเฉพาะคนจีนหรอก คนไทยก็มี อย่างของบ้านฉันก็เป็นครอบครัวใหญ่ค่ะ ลูกๆ หลานๆ ก็มาเยี่ยมดูแลเสมอ ฉันคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมควรรักษาและสืบทอดต่อไป
ManGu : คุณจรีพรเคยเรียนภาษาจีนบ้างไหมคะ
Jareeporn : เรียนค่ะ ตอนเด็กๆ ดิฉันเรียนโรงเรียนจีน เมื่อก่อนก็อ่านหนังสือพิมพ์จีนได้ คุณพ่อของดิฉันก็ภูมิใจมากเลยว่าฉันอ่านภาษาจีนได้ แต่พอหลังจากที่เราเรียนสูงขึ้นเรื่อยๆ เลยไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อก่อนเวลาพูดก็จะงงในหัวเพราะมี 3 ภาษาอยู่ในหัว ไทย จีนและ อังกฤษ ดิฉันก็จะสับสน เวลาพูดอังกฤษก็จะพูดจีน พอจะพูดไทยก็จะพูดอังกฤษ แต่ช่วงหลังๆมานี้จะไม่ค่อยได้ใช้ภาษาจีนเท่าไหร่ค่ะ
ManGu : สุดท้ายนี้อยากจะฝากอะไรถึงพูดอ่านชาวจีนบ้างไหมคะ
Jareeporn : ดิฉันก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนคนหนึ่ง และติดตามการพัฒนาของประเทศจีนอยู่ตลอด ประเทศจีนพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมาก และดิฉันตั้งตารอดูความสำเร็จของประเทศจีนค่ะ