news-details

ความผูกพันต่อประเทศจีนของนักการทูตลาวคนหนึ่ง

คนลาวที่ได้ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศจีนมา 16 ปีจะเป็นคนยังไง? เมื่อเจอกันจะยกมือไหว้แบบลาว แต่พูดภาษาจีนกลางได้คล่องแคล่วแม้จะเกิดที่ประเทศลาวและโตที่ประเทศลาว แต่กลับพูดว่าเพื่อนส่วนใหญ่ของตนเป็นคนจีนแม้เวลาอยู่ที่ประเทศจีนจะคิดถึงคนในครอบครัวในประเทศลาว แต่เคยชินกับสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายของประเทศจีนนาย Khampheng  Soulingnawongคนลาวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องประเทศจีนคนหนึ่งนักการทูตลาวที่เต็มไปด้วยความรักต่อประเทศจีนคนหนึ่ง

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม เส้นทางรถไฟจีน-ลาว ซึ่งเป็นโครงการสัญลักษณ์ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง"และมิตรภาพจีน-ลาวได้เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ อดีตรองกงสุลใหญ่แห่งสปป.ลาวประจำนครหนานหนิงนาย Khampheng ดีใจมาก ไม่เพียงแต่เพราะว่าเส้นทางรถไฟสายที่สามารถนำโอกาสการพัฒนาอย่างไม่เคยมีมาก่อนมาสู่ประชาชนลาวได้เปิดให้บริการแล้วแต่งยังเพราะว่าเขาและเพื่อนคนจีนจะเดินทางไปมาหาสู่กันได้สะดวกยิ่งขึ้น นาย Khamphengกล่าวว่า “หลังจากเส้นทางรถไฟสร้างเสร็จและเปิดให้บริการการเดินทางระหว่างประเทศลาวกับประเทศจีนจะสะดวกยิ่งขึ้น การแลกเปลี่ยนระหว่างรัฐบาลและประชาชนประเทศลาวกับประเทศจีนจะใกล้ชิดยิ่งขึ้นความร่วมมือจะบ่อยมากขึ้น และการพัฒนาของสังคมและเศรษฐกิจทั้งสองประเทศก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งก็จะนำโอกาสที่ดีแก่ประเทศลาวในการพัฒนาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น รถไฟความเร็วสูงเปิดให้บริการแล้วคุณนำเหล้ามา  แล้วผมจะเตรียมอาหารให้!”

พูดถึงเรื่องราวของนาย  Khampheng  กับประเทศจีนต้องย้อนกลับไปที่ปี 2542 ในปี 2542 ตอนนั้นภาษาจีนยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศลาว กระทรวงศึกษาธิการประเทศลาวได้คัดเลือกและส่งนาย  Khamphengไปเรียนต่อในระดับปริญญาโทด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่มหาวิทยาลัยอู่ฮั่นหลังจากสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทในปี 2547 นาย  Khamphengก็เดินทางกลับประเทศลาวผ่านไปหลายปี ตอนนี้พูดถึงฉากที่ไปเรียนที่ประเทศจีนครั้งแรก นาย  Khamphengก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง“ตอนนั้นอาจารย์เป็นคณบดี เขาเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุดที่ผมเคยเจอเขาพาผมไปหอสมุด ช่วยผมยืมหนังสือ บอกผมว่าต้องอ่านหนังสือประเภทไหน ผมรู้สึกว่าเขาดีกับผมมากผมจะไม่มีวันลืมมหาวิทยาลัยอู่ฮั่น อาจารย์ของผม และเพื่อนร่วมชั้นของผม”

หลังจากทำงานในกระทรวงการต่างประเทศลาวเป็นเวลา5 ปี นาย  Khampheng ไปที่ประเทศจีนอีกครั้งและทำงานในสถานกงสุลใหญ่แห่งสปป.ลาวประจำเมืองคุนหมิงต่อมานาย  Khamphengไปเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ยูนานและดำรงตำแหน่งรองกงสุลใหญ่สถานกงสุลแห่งสปป.ลาว ประจำนครหนานหนิงตั้งแต่ปี2560 ถึง 2564 ประสบการณ์ทั้งหมดนี้รวมแล้ว นาย  Khamphengได้เรียนและทำงานในประเทศจีนมาเป็นเวลาทั้งสิ้น16 ปี นาย  Khamphengกล่าวว่า "ผมคิดว่าการใช้ชีวิตในประเทศจีนของผมเหมือนกับการใช้ชีวิตในประเทศลาวประเทศจีนเป็นบ้านเกิดที่สองของผม ในช่วงเวลาทำงานที่ประเทศจีน เราเป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันการสื่อสารและทำงานก็ไม่ต่างจากในประเทศของตัวเอง "

ช่วงสิบกว่าปีที่นาย  Khamphengอยู่ในประเทศจีนเป็นช่วงเวลาที่สังคมและเศรษฐกิจของประเทศจีนได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงเวลานี้ นาย  Khampheng เคยเดินทางไปปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ กวางตุ้ง ยูนนาน เจ้อเจียง กวางซีและมณฑลกับเมืองอื่น ๆ มากมาย และสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในประเทศจีนด้วยตัวเองตอนที่เขามาที่ประเทศจีนครั้งแรก จากประเทศลาวไปเมืองอู่ฮั่น ต้องนั่งรถไฟหลายเที่ยวต้องถึงเมืองเชียงรุ่งก่อน แล้วค่อยไปเมืองคุนหมิงแล้วต่อรถไปที่เมืองอู่ฮั่นทั้งหมดต้องใช้เวลา 4 วัน 3 คืน ตอนนี้นั่งเครื่องบินจากเมืองคุนหมิงไปยังกรุงเวียงจันทน์ประเทศลาว ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงครึ่งตอนนี้ เมื่อเขาไปเที่ยวที่เก่าในเมืองอู่ฮั่นก็ไม่สามารถหาเส้นทางเดิมได้อีกแล้ว “เปลี่ยนแปลงไปมาก การคมนาคมขนส่งเปลี่ยนไป และชีวิตของผู้คนก็เปลี่ยนไปมากด้วยทั้งบ้านเก่า ผมหาไม่เจอแล้ว ตอนนี้เส้นทางก็หาไม่เจอแล้ว ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไม่มีอีกแล้วหาไม่เจอแล้ว"

จากGDP แค่1.09 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นอันดับ 7 ของโลกในปี 2542ปัจจุบันได้กลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลกไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของโฉมหน้าการก่อสร้างในเมืองและชนบท การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนหรือว่าความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันใหญ่หลวง ทั้งหมดนี้นาย  Khampheng ได้เห็นกับตา ในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงประกาศว่าประเทศจีนได้รับชัยชนะอย่างสมบูรณ์ในการต่อสู้กับความยากจนจากมุมมองของนาย  Khamphengงานบรรเทาความยากจนของประเทศจีนประสบความสำเร็จอย่างมากนาย  Khamphengกล่าวว่า “ในโลกนี้ ไม่มีประเทศใดทำสำเร็จได้นอกจากประเทศจีน ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผมมาที่ประเทศจีนครั้งแรกไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง ชีวิตประชาชน หรืออาคารบ้านเรือน ฯลฯ ในขณะนั้น ยังล้าหลังมากแต่กว่าสิบกว่าปี ยี่สิบปีผ่านไปแล้ว ก็ไม่เห็นบ้านเรือนที่ทรุดโทรมและชาวจีนที่มีชีวิตอันยากลำบากได้อีกแล้วผมเคยเดินทางไปเที่ยวชนบทถนนในชนบทก็เป็นถนนคอนกรีตแล้ว ถนนไปสวนผลไม้ก็เป็นถนนคอนกรีตเช่นกันนี่คือสิ่งที่ผมเห็น รัฐบาลจีนได้ทำงานอย่างดีในด้านการช่วยเหลือประชาชนให้พ้นจากความยากจนด้วยการลงทุนและการก่อสร้าง"

ในขณะที่ประหลาดใจกับความเร็วของการพัฒนาของประเทศจีนนาย  Khamphengยังได้แนะนำประสบการณ์ที่เขาเห็นในการบรรเทาความยากจนของประเทศจีนไปยังประเทศลาวภายใต้การส่งเสริมของเขา รัฐบาลประเทศลาวได้ส่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลไปยังกวางซีเพื่อเรียนรู้ประสบการณ์และเชิญเจ้าหน้าที่รัฐบาลกว่างซีที่รับผิดชอบงานด้านการบรรเทาความยากจนไปยังประเทศลาวเพื่อแนะนำและส่งเสริมประสบการณ์ สร้างโครงการช่วยเหลือบรรเทาความยากจน ปัจจุบัน ในเมืองหลวงพระบางและกรุงเวียงจันทน์ต่างก็มีโครงการช่วยเหลือบรรเทาความยากจนจากกวางซี

นาย  Khamphengกล่าวว่าการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างจีนกับลาวสิ่งสำคัญที่สุดคือการเสริมสร้างการฝึกอบรมด้านเทคนิคของประเทศจีนในประเทศลาว ภายใต้ความพยายามของเขาได้ทำให้สำนักงานผู้แทนประจำประเทศจีนของมหาวิทยาลัยแห่งชาติลาวก่อตั้งขึ้นในนครหนานหนิงเขตกวางซีและส่งเสริมให้เกิดโครงการความร่วมมือระหว่างบริษัทพลังงานไฟฟ้ากวางซีและบริษัทลาวตอนนี้ เขากำลังพยายามขับเคลื่อนให้เกิดความร่วมมือในโครงการความร่วมมือด้านขัดสนอู๋โจว-ลาวแขวงเชียงขวางของประเทศลาวมีทรัพยากรขัดสนมากมาย แต่เทคโนโลยีการแปรรูปล้าหลังมาก นาย Khampheng หวังว่าจะใช้เทคโนโลยีการผลิตขัดสนประเทศจีนช่วยเพิ่มมูลค่าผลผลิตของขัดสนประเทศลาวเขากล่าวว่า "เรื่องนี้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายสำหรับประเทศลาวแล้ว สามารถฝึกอบรมเทคโนโลยีการผลิตขัดสนและสามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์พิเศษของประเทศลาวได้มากมายสามารถเพิ่มรายได้ให้กับคนในท้องถิ่น โดยเฉพาะประชาชนในแขวงเชียงขวางและแขวงสาละวันหรือแขวงอื่นที่ผลิตขัดสน”

นาย  Khampheng ได้สรุปประสบการณ์มากมายในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างจีนกับลาวเขากล่าวว่า จีนและลาวสามารถร่วมมือกันได้หลายด้าน จีนและลาวมีชายแดนติดกัน ประเทศลาวควรเรียนรู้จากประสบการณ์การพัฒนาของประเทศจีนอย่างจริงจังและนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาของตนเอง“ผมคิดว่าไม่ว่าจะเป็นผมหรือคนอื่น ๆ ต่างก็ควรจะฟังและเรียนรู้จากสุนทรพจน์ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เราต้องศึกษาทุกคำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิงอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง”เหมาะสมที่สุดสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของโลกหากเราสามารถนำไปปฏิบัติได้ เราจะได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะสำหรับประเทศลาวแล้ว เป็นกันได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย"

ปัจจุบัน นาย  Khampheng ได้สิ้นสุดการดำรงตำแหน่งและเดินทางกลับประเทศลาวแล้ว แต่สำหรับเขาเรื่องราวกับประเทศจีนยังไม่จบ เขากล่าวว่า ไม่ว่าเขาจะทำงานในหน่วยงานใดในอนาคต เขาก็จะส่งเสริมการความร่วมมือลาวกับจีนในเชิงลึกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ชุมชนลาว-จีนแห่งอนาคตร่วมกันได้ผลิบานและเกิดผลต่อไป  “ผมจะไม่มีวันลืมประสบการณ์ที่ได้รับจากการเรียนและทำงานในประเทศจีนเพราะผมเกิดที่ประเทศลาว แต่ความรู้ของผมได้มาจากประเทศจีน ผมจะยังคงมีส่วนร่วมในการส่งเสริมและขยายความร่วมมือระหว่างลาวกับจีนในเชิงลึกอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ความร่วมมือระหว่างสองประเทศพัฒนาไปอย่างคึกคัก"

ที่มา: สถานีวิทยุและโทรทัศน์กว่างซี

You can share this post!

Boudsada Lathsakoummanนักศึกษาต่างชาติจากประเทศลาว: ฉันชอบประเทศจีนมาก

สกรูกว่างซีบนเส้นทางรถไฟระหว่างประเทศ