คุณไช่ เสี้ยวซิงมาจากมณฑลฝูเจี้ยน ประเทศจีน ซึ่งสถานที่แห่งนี้มีอิทธิพลอย่างมากต่อประเทศไทยหรือแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คุณไช่ เสี้ยวซิงได้กล่าวไว้ว่าความสำเร็จของเขากับจิตวิญญาณความเป็นคนฝูเจี้ยนไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ คำว่า “ต้องสู้จึงจะชนะ” เป็นประโยคที่เขายึดมั่นมาโดยตลอด นักธุรกิจชาวฝูเจี้ยนที่มีความขยันหมั่นเพียรเช่นนี้หาได้ไม่ยาก และในช่วงเวลานับร้อยปี คนฝูเจี้ยนก็ใช้ชีวิตแบบเสี่ยงภัยอันตราย ก่อร่างสร้างตัวด้วยสองมือของตัวเองจนสามารถสร้างธุรกิจในต่างแดนได้ และหลายคนก็ค่อย ๆ ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดทางด้านการเมืองท้องถิ่น ในขณะเดียวกัน ชาวฝูเจี้ยนพิสูจน์แล้วว่า ถ้าหากเราอยากจะประสบความสำเร็จ ไม่ได้มีเพียงแค่การทำอย่างมุทะลุดุดัน แต่ยังต้องใช้ไหวพริบอีกด้วย ซึ่งตัวของคุณไช่ เสี้ยวซิงก็เป็นคนที่ใช้ความคิดพิจารณาอย่างรอบคอบด้วยเช่นกัน เรื่องราวของเขาทำให้เราได้ทราบว่า ทัศนคติสำคัญต่อสถานการณ์ต่าง ๆ
คุณไช่ เสี้ยวซิงได้กล่าวถึงฝูเจี้ยนว่า “เรื่องราวต่าง ๆ ในฝูเจี้ยนก็คือเรื่องราวของเขาด้วยเช่นกัน” คำกล่าวนี้ทำให้ผู้คนประทับใจอย่างมาก และความสำเร็จของนักธุรกิจชาวฝูเจี้ยนอย่างคุณไช่ เสี้ยวซิง ก็ยังต้องพึ่งพาอาศัยการเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศจีน นับตั้งแต่ร้อยปีที่ผ่านมา นักธุรกิจชาวฝูเจี้ยนต่างไม่ลืมว่าตนเองเป็นคนจีนที่มีถิ่นกำเนิดมาจากฝูเจี้ยน แม้ว่าในช่วงเวลาวัยหนุ่มของเขาจะตรากตรำลำบากที่ประเทศจีนขนาดไหน แต่เขายังรักบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง ตอนที่คุณไช่ เสี้ยวซิงยังเป็นเด็ก เศรษฐกิจในประเทศจีนย่ำแย่มาก ดังนั้นเขาจึงเริ่มเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับไอศกรีมในตอนอายุ 14 ปี และหาลูกค้าโดยการเคาะประตูไล่เรียงไปทีละหลังคาเรือนเพื่อเลี้ยงชีพ เมื่อย่างก้าวเข้าสู่อายุ 16 ปี คุณไช่ เสี้ยวซิงได้เริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ถ่ายภาพและเครื่องใช้ในบ้านขนาดเล็ก ถึงแม้จะมีวันที่ลำบาก แต่เขาก็ไม่เคยยอมแพ้ และยังคงทุ่มเทแรงให้กับงานที่เขารัก คุณไช่ เสี้ยวซิงได้บอกว่าจากประสบการณ์ในช่วงแรกทำให้เขาได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง และบางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในภายหลังก็ได้
หลังจากเข้ามาในประเทศไทยได้ 13 ปี ในปี 2016 คุณไช่ เสี้ยวซิงก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเปิดตัวแบรนด์ค้าปลีก "MINISO" จากประเทศจีน ทำให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศแรก ๆ ที่ได้มีการขยายอาณาเขตในต่างประเทศของ MINISO เมื่อได้เปิดตัวก็เป็นที่ต้องการอย่างมากของผู้บริโภคชาวไทย ตั้งแต่นั้นมา MINISO ก็ได้พัฒนาอย่างรวดเร็วในประเทศไทย และใช้เวลาเพียงสองปีในการเปิดร้านกว่า 60 แห่ง แต่ชีวิตก็ไม่ได้ดำเนินไปอย่างราบรื่น ปัญหาและอุปสรรคเป็นสิ่งที่พบเจอได้ตลอดทางในการดำรงชีวิต ในช่วงปลายปี 2019 มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 ทำให้มีผลกระทบโดยตรง ตามคำกล่าวของคุณไช่ เสี้ยวซิง ในช่วงเวลาที่เชื้อไวรัสได้ระบาด ธุรกิจ MINISO กว่า 30 แห่งได้ปิดตัวลง และรายได้โดยรวมลดลงถึง 600 ล้านบาท แต่โชคดีที่สถานการณ์ดีขึ้น ทำให้ MINISO ได้ยืดหยัดไปต่อ และเขาเชื่อว่าเพียงแค่เราไม่หมดกำลังใจและต่อสู้เพื่อเดินไปข้างหน้า โรคระบาดก็ไม่สามารถทำลายเราได้
บุคคลหน้าปกนิตยสาร @ManGu ฉบับนี้ จะนำพาทุกคนเข้าสู่เรื่องราวของคุณ ไช่ เสี้ยวซิง (Cai Xiaoxing) ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซิงไท่ เทรดดิ้ง จำกัด (Miniso Thailand) มาเล่าเรื่องราวของคนธรรมดาสู่นักธุรกิจ
ManGu : คุณไช่ เสี้ยวซิงมาจากมณฑลฝูเจี้ยนในประเทศจีน และนักธุรกิจฝูเจี้ยนมีวิญญาณในด้านการต่อสู้ การเปิดกว้าง และการขยายตัว สภาพแวดล้อมที่คุณเติบโตมามีส่วนช่วยในการทำธุรกิจของคุณในอนาคตหรือไม่
Cai Xiaoxing : ใช่ครับ ผมมาจากมณฑลฝูเจี้ยน ผมใช้ช่วงเวลาวัยรุ่นของผมอยู่ที่นั่น ความสำเร็จในปัจจุบันของผมมาจากจิตวิญญาณที่ไม่กลัวความยากลําบากและรักที่จะทำงานหนักเช่นเดียวกับชาวฝูเจี้ยน ดั่งเพลงที่มีท่อนร้องว่า "สามส่วนนั้นถูกลิขิตไว้ เจ็ดส่วนต้องสร้างเองอย่างหนัก" ผมเชื่อเสมอว่า "ต้องสู้จึงจะชนะ" ตั้งแต่อายุ 12-13 ปี ผมเริ่มเรียนไป ทำงานขายผักผลไม้กับคุณแม่ไปด้วย บวบที่ผมขายจะต้องหนักไม่เกิน 20 กรัม โดยชั่งจากมือของผมเอง ตอนอายุ 14 ปี ผมเริ่มต้นธุรกิจอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ดีที่สุดในการเริ่มทำธุรกิจคือการใช้วันหยุดฤดูร้อนในการทำธุรกิจไอศกรีมแท่งขาย ในทุก ๆ วันต้องเดินกว่า 10 กิโลเมตรเพื่อขายไปตามทีละบ้าน ตอนอายุ 16 ปี ผมเริ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์ถ่ายภาพและเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก เพราะผมออกจากบ้านไปทำมาหากินด้วยตัวเองค่อนข้างเร็ว เลยมีประสบการณ์มากกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน คนที่ทำธุรกิจต้องเรียนรู้ที่จะคิดต่าง กล้าที่จะคิดและกล้าที่จะทำ โดยเฉพาะคนหนุ่มสาวที่ต้องการเริ่มต้นทำธุรกิจตอนนี้ หากคุณคิดแต่ไม่ลงมือทำ มันก็จะทำให้คุณเสียเวลานั้นไป
ManGu : เหตุผลอะไรที่ทำให้ท่านมายังประเทศไทย
Cai Xiaoxing : เพราะว่าคำพูดของเพื่อน 1 ประโยค ตอนนั้นผมได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องเสียงอยู่ในประเทศจีน และในตอนที่ซื้อสินค้าเข้าสู่เมืองพานหยูที่มณฑลกว่างโจว ก็ได้บังเอิญไปเจอกับเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งผมกับเขาคุยกันถูกคอมาก เขาก็เลยถามผมว่าไม่สนใจไปทำธุรกิจในประเทศไทยบ้างเหรอ ต่อมาในปี 2003 ตอนที่ผมได้มาประเทศไทยครั้งแรก ผมก็รู้สึกว่าสถานที่ตรงนี้ดีมาก คุณภาพชีวิตดี คนก็ใจดี ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม การพัฒนาของประเทศก็ค่อนข้างเจริญรุ่งเรือง
เริ่มแรกผมได้จดทะเบียนกับบริษัท 2 แห่ง คือ บริษัท ศักดิ์สยามลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) (SAK) และ บริษัท แอดวานซ์ คอนแท็ค เซ็นเตอร์ จำกัด (ACC) แต่เกิดการกีดกันทางกฎหมาย และหลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้เซ็นสัญญาธุรกิจฉบับแรกมีมูลค่า 1 ล้านบาท ซึ่งฉบับนี้ผมเซ็นอย่างตั้งใจแน่วแน่มาก แม้ยังไม่ได้จ่ายเงินมัดจำกับฝ่ายตรงข้ามเลย แต่ลูกค้าฝั่งนั้นก็เชื่อมั่นในตัวผม ก็เลยตกลงกันได้แม้ว่ายังไม่ได้ลงนามอะไรเลย ดังนั้นการทำธุรกิจจะต้องใส่ใจในเรื่อง “การเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน” เพราะความเชื่อมั่นเป็นพื้นฐานของความสำเร็จร่วมกัน สำหรับธุรกิจนี้ผมได้ซื้อสร้อยข้อมือเพทายมาในมูลค่า 1 ล้านบาท ตอนนั้นผมเองก็ยังไม่คุ้นชินกับกรมศุลกากรด้วย เลยถูกปรับไป 70,000 บาท ซึ่งยังโชคดีที่ปรับไปไม่เยอะ แต่นับตั้งแต่นั้นมาผมก็ได้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ และได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับของตกแต่งตั้งอยู่ในบริเวณถนนเยาวราช ซึ่งจัดการดูแลโดยภรรยาของผม ส่วนผมยังทำธุรกิจเดิมของผมอยู่ เช่น ขายอุปกรณ์เสริมโทรศัพท์มือถือ ที่ชาร์จแบต และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นอกจากนั้น ตอนที่มาประเทศไทยครั้งแรก ผมก็ได้รับความช่วยเหลือเยอะมาก ๆ จากผู้อาวุโสเชื้อสายจีน พวกเขาชอบรูปแบบการพูดของผมและเอาผมเป็นตัวอย่าง ดังนั้นพวกเขาเลยชอบผมมาก ๆ ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังเชื่อมั่นว่าในการทำสิ่งต่าง ๆ ต้องซื่อสัตย์ ทำสิ่งต่าง ๆ อย่างติดดิน และปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความจริงใจ
ManGu : ในช่วงเริ่มต้นทำธุรกิจ ท่านได้เจอกับอุปสรรคหรือไม่
Cai Xiaoxing : ผมคิดว่าทุกคนต่างก็มีอุปสรรคด้วยกันทั้งนั้น ชีวิตของมนุษย์เราเป็นไปไม่ได้เลยที่จะราบรื่นตลอดเวลา มันมักจะเจอกับปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ และหากพบกับทางคดเคี้ยวก็สามารถที่จะเติบโตไปได้ อย่างเช่นครั้งแรกที่ผมมาประเทศไทย ผมก็ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ตลาดของไทยเลย แม้สินค้ายังไม่ได้มาถึงมือ แต่ผมก็จัดเตรียมโกดังไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังจ่ายเงินก้อนใหญ่ไปก่อนอีก หลังจากที่รอสินค้ามาถึงท่าเรือ ผมถึงทราบว่าโกดังที่เตรียมไว้มันไม่เหมาะสมเลย เงินก้อนนี้จึงเป็นเงินค้างชำระ และต้องใช้เวลากว่า 1 ปีถึงจะคืนกลับมาให้ผม
จริง ๆ ส่วนนี้ไม่ได้ถือว่าเป็นอุปสรรคอะไร แต่เรียกว่าเป็นประสบการณ์มากกว่า นับตั้งแต่นั้นผมก็เข้าใจได้ว่าบางคนสามารถเชื่อใจได้ บางคนก็เชื่อใจไม่ได้ สิ่งสำคัญของนักธุรกิจอย่างเราก็คือคำพูดที่ซื่อสัตย์ สุจริต ลูกค้าที่ร่วมงานกับผมต่างก็ชอบในสไตล์การทำงานของผม ผมเป็นคนที่พูดแล้วต้องทำให้ได้ และจะไม่มีเหตุการณ์ที่รับปากคนอื่นแล้ววันต่อมาเปลี่ยนไปเด็ดขาด
ManGu : เพราะเหตุใดท่านจึงนำ MINISO เข้ามาในประเทศไทย
Cai Xiaoxing : ครั้งหนึ่งผมเคยไปทำงานที่ฮ่องกง ทำให้ได้เจอกับร้าน MINISO เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มีพื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร ผมเดินเข้าไปดูด้วยความแปลกใจ ทำให้ได้พบว่าสินค้ามีวางให้เห็นเต็มไปหมด และมีความหลากหลายมาก ๆ ซึ่งผมคิดว่าที่ประเทศไทยก็มีมูลค่าทางการค้าอยู่เหมือนกัน เลยเริ่มมีแนวคิดที่จะนำ MINISO เข้ามา หลังจากที่ผมกลับมาที่ประเทศไทย ผมก็ได้ทำการติดต่อกับสำนักงานใหญ่ของ MINISO โดยตรง พวกเขาเสนอเงื่อนไขเกี่ยวกับแผนการนำเข้าให้เราเยอะมาก แต่ผมคิดว่าเพียงแค่คุณภาพของสินค้าเป็นที่น่าพอใจต่อผู้บริโภคชาวไทย ก็ถือว่าเป็นที่คุ้มค่าต่อการนำเข้าแล้ว คุณภาพของสินค้ามาก่อนเสมอ ส่วนราคาค่อยตามมาทีหลังได้
ManGu : ในช่วงแรกที่มีการนำเข้า MINISO มายังประเทศไทยมีอุปสรรคอะไรบ้างไหม
Cai Xiaoxing : ทุกเรื่องต่างก็มีอุปสรรค และแน่นอนว่าต้องเคยพบเจออยู่แล้ว เพราะว่าสินค้าขายปลีกของเรามีหลากหลายประเภท การผ่านกรมศุลกากรแต่ละครั้ง ตู้คอนเทนเนอร์ 1 ตู้มีสินค้ากว่า 400 ประเภทที่ต้องทำการแยก หลังจากที่มาถึงประเทศไทยก็ต้องไปบันทึกข้อมูลผ่านสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาประเทศไทย ในตอนที่เปิด 5 สาขาแรก ผมต้องทำงานอย่างหนัก ทั้งทำงานล่วงเวลาไปจนถึงตี 4-5 ถึงจะได้กลับบ้าน เพราะว่าร้านค้าเหล่านี้มีที่ตั้งอยู่ในห้างสรรพสินค้า และการตกแต่งร้านในห้างกับร้านค้าทั่วไปก็มีความแตกต่างกันอยู่แล้ว ซึ่งโดยปกติเราจะตกแต่งร้านในห้างสรรพสินค้าตอนกลางคืนที่ร้านปิดแล้ว หลังจากที่ลูกค้าออกจากร้านไปหมดแล้วถึงจะเริ่มตกแต่งได้ ทำให้เรามักจะทำงานข้ามคืนกันบ่อย ๆ พอเปิดร้านสาขาที่ 6 ผมก็ให้คนของผมจัดการดูแล และให้เขามารายงานกับผมทุก ๆ เดือน ทำให้ผมไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจโดยตรง ซึ่งการทำงานของผมก็จะประมาณนี้ครับ
ร้านค้าของเราเปิดที่ Seacon Square เป็นสาขาแรกเลย ในตอนนั้นมีกลุ่มคนที่ทำห้างสรรพสินค้าต่างตั้งคำถามกันว่าพวกเราจะทำธุรกิจนี้ไปได้อย่างราบรื่นดีหรือไม่ แต่ปรากฏว่าในช่วงระยะเวลาเพียง 1 เดือน อัตราการเจริญเติบโตในการทำธุรกิจของเราสูงถึง 8 ล้าน พอห้างร้านค้าอื่น ๆ เห็นผลลัพธ์ของเราออกมาดี จึงได้มาขอให้พวกเราไปเปิดสาขาในห้างของเขา สิ่งที่ห้างสรรพาสินค้าให้ความสำคัญคือ แบรนด์หนึ่งแบรนด์สามารถที่จะทำผลกำไรให้ได้หรือไม่ การมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งถึงจะสร้างสิ่งที่ดีออกมาได้ การระบายน้ำ การเลือกสถานที่ และผลิตภัณฑ์มีความสำคัญมาก แต่คุณภาพของผลิตภัณฑ์เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะผลิตภัณฑ์ของคุณจะแสดงถึงชื่อเสียง ถ้าหากว่าผลิตภัณฑ์ของคุณไม่ดี ร้านค้าของคุณก็จะปิดตัวลงหลังจากเปิดดำเนินการเพียงไม่กี่ปี
ManGu : ท่านทุ่มเทแรงกายมาตั้งแต่สาขาแรกจนถึงสาขาที่ 5 ทำไมถึงไม่เปิดแฟรนไชส์ตั้งแต่แรก
Cai Xiaoxing : ในตอนแรกสำนักงานใหญ่ได้ให้คำแนะนำว่าอย่าทำแบบแฟรนไชส์ แต่ว่าตัวผมเองก็ไม่ได้มีความคิดแบบนั้นตั้งแต่แรก ข้อดีของการทำแฟรนไชส์ก็คือเงินหมุนเวียนค่อนข้างเร็ว แต่ก็ต้องคำนึงถึงจุดเด่นของตลาดในประเทศไทยด้วย ตลาดในจีนมีประมาณ 30 กว่าแห่ง แต่ร้านค้าที่มีทำเลดีในประเทศไทยมีน้อยมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัดของไทย กำลังการบริโภคของประชากรไม่สูงเหมือนอยู่กรุงเทพฯ สถานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์และแหล่งที่มาของลูกค้าไม่โดดเด่น หลังจากที่เปิดร้านแล้ว ไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีรายได้เพิ่มเข้ามา เพราะค่าใช้จ่ายในส่วนของการเช่าและการตกแต่งก็เป็นเงินก้อนที่ได้จ่ายออกไปแล้ว และ MINISO ของเกาหลีก็ได้มีการทำแฟรนไชส์ เป็นกลุ่มแรก ๆ แต่ไม่นานเขาก็ถอนตัวออกมา
อีกอย่างหนึ่ง ผมคิดว่าการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีคุณธรรมและความเสมอภาคอย่างมาก และคุณภาพของสินค้าจะต้องผ่านการตรวจสอบอีกด้วย ถ้าหากได้มีการทำในรูปแบบแฟรนไชส์ จะทำให้ผมยากที่จะรับประกันได้ว่าร้านค้าทุกสาขาจะให้บริการขายสินค้าที่มีคุณภาพได้หรือไม่ การทำธุรกิจเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีทั้งกำไรและขาดทุน แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่บางคนจะไม่ยอมรับข้อเท็จจริง หากมีการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีคุณภาพอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อชื่อเสียงของแบรนด์ทั้งหมด ดังนั้นผมจึงยังไม่มีความคิดที่จะเปิดแฟรนไชส์
ManGu : ท่านคิดว่าความสำคัญของแบรนด์ MINISO คืออะไร
Cai Xiaoxing : การจัดสรรสินค้าและการจัดการครับ ร้าน MINISO ทุกแห่งต่างก็มีการจัดการของตัวเอง ซึ่งพวกเขาจะให้ความสำคัญกับการอบรมพนักงานและการแก้ไขปัญหาที่สำคัญ ผมคิดว่าธุรกิจหนึ่งจะต้องใช้เวลาในการพัฒนา ปัจจัยที่ขาดไม่ได้เลยคือความสามารถในการแก้ไขปัญหา เรามีการจัดตั้งระบบผู้จัดการประจำภูมิภาคเพื่อช่วยผู้จัดการแต่ละร้านในการแก้ปัญหาที่สำคัญ เพราะถ้าหากมีกิจการที่พบเจอปัญหาแล้วไม่มีการแก้ไข อีกทั้งยังไม่ได้รายงานกับผู้บริหาร สุดท้ายแล้วจะทำให้เกิดปัญหาใหญ่ตามมา ดังนั้นผมมักจะพูดย้ำกับพนักงานอยู่เสมอว่า คุณคือผู้จัดการร้านนี้คุณจะดูแลคนเพียงไม่กี่คน แต่ถ้าคุณเป็นผู้จัดการระดับภูมิภาค คุณจะต้องดูแลร้านทั้งหมด 20-30 ร้าน และต้องแก้ไขปัญหาที่ผู้จัดการร้านแก้ไขไม่ได้ ซึ่งคุณเองต้องมีความสามารถในการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ และในฐานะที่คุณเป็นเจ้านาย หากคุณแก้ปัญหาตรงหน้าไม่ได้ ก็จะทำให้ทีมมีความล่าช้าและเสียเวลาไปกับเรื่องเหล่านี้
ManGu : เนื่องการแพร่ระบาดของโควิด 19 ค่อย ๆ กลับคืนสู่สถานการณ์ปกติแล้ว แผนการพัฒนาของ MINISO ในอนาคตมีแนวโน้มเป็นอย่างไรบ้าง
Cai Xiaoxing : ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ผมหวังว่าเราจะสามารถขยายสาขาไปได้อีก 150-200 แห่ง เริ่มการทำในรูปแบบแฟรนไชส์ แต่ก่อนอื่นเราจะต้องดูสถานที่ให้ดีเสียก่อน และทำให้คนที่ทำแฟรนไชส์มีความเชื่อมั่นกับเราเพราะเราไม่ได้ให้แฟรนไชส์กับคนอื่นตามใจชอบ ลำดับแรกคุณจะต้องมีเงินทุนที่เพียงพอ อย่างที่สองเราจะช่วยอบรมบุคลากร ซึ่งเราจะเป็นผู้นำและช่วยเหลือในการเลือกสถานที่และการฝึกอบรมการเปิดร้าน
Thank You.
Cai Xiaoxing / ไช่ เสี้ยวซิง
Photographer : Luttsit Thongbansai @bellr_blackroom
Graphic Designer : Satamed Kunawattana @Pdillustrator
Coordinator / Interviews : Natruja Ming @fahnrj
Column Writer : Zousiyi @joy_zz97 ;Sheldon Chan @sheldonchan1116