news-details

MANGU E-Magazine Cover Story Issue 253 (1st April 2023) พบกับเจ้าของสไตล์แฟชั่นเรียบโก้ "หมู พลพัฒน์ อัศวะประภา" ASAVA Group

เส้นทางสู่การกำเนิดแบรนด์แฟชั่น
บทสัมภาษณ์ พลพัฒน์ อัศวะประภา ผู้ก่อตั้ง ASAVA แบรนด์ไทย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การแข่งขันทางการตลาดในอุตสาหกรรมแฟชั่นทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากแบรนด์ต่างประเทศที่มีชื่อเสียงอยู่แต่เดิมแล้ว แบรนด์เฉพาะกลุ่มก็เริ่มปรากฏมากขึ้น ในปี พ.ศ. 2564 ลิซ่าศิลปินชาวไทยได้ปล่อยซิงเกิลเดี่ยว "LALISA" ซึ่งใน MV ลิซ่าปรากฏตัวในชุดผ้าไหมสีเหลืองทองแบบไทยซึ่งทำให้ชาวโลกเห็นเสน่ห์ของชุดไทยและดึงดูดความสนใจที่แบรนด์เสื้อผ้า ASAVA

พลพัฒน์ อัศวะประภา ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ASAVA เป็นหนึ่งในนักออกแบบที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย จบการศึกษาจาก Parsons โรงเรียนสอนแฟชั่นชั้นนำของโลก และเคยทำงานใน Armani และ MaxMara  หลังจากกลับมาประเทศไทย เขาตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะสร้างแบรนด์แฟชั่นของตัวเอง และแบรนด์ ASAVA จึงถือกำเนิดขึ้นด้วยการเปิดตัวคอลเลกชั่นแรกในปี 2551 อย่างไรก็ตาม เบื้องหลังประสบการณ์ที่ดูเหมือนจะราบรื่นนี้ กลับมีเรื่องราวการไล่ตามความฝันที่น้อยคนนักจะรู้

พลพัฒน์ อัศวะประภา เกิดในครอบครัวที่มีความหลากหลาย คุณพ่อเป็นชาวไทยเชื้อสายจีน และคุณแม่เป็นชาวญี่ปุ่น ได้รับอิทธิพลด้านวัฒนธรรมหลากหลายตั้งแต่ยังเด็ก และมีใจที่ "ไม่ต้องการความธรรมดา" ตั้งแต่ยังเด็ก   “ความฝันของผมคือการทำงานในวงการแฟชั่น แต่ธุรกิจของครอบครัวยังคงกีดกันความฝันของผม ตอนเรียน ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือได้ทำในสิ่งที่ชอบ และพยายามท้าทายตัวเองอยู่เสมอ เพื่อดูว่าสุดท้ายแล้วจะทำสิ่งที่ชอบได้ดี และรู้สึกว่าเราเกิดมาเพื่องานออกแบบหรือไม่” พลพัฒน์ อัศวะประภา  กล่าวเมื่อหวนนึกถึงแฟชั่นในวัยเด็ก

เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ พลพัฒน์ อัศวะประภา  มีสิทธิเลือกชีวิตมากขึ้น เขาตัดสินใจ "กบฏ" แอบขายบ้านที่พ่อแม่ซื้อให้ และไปเรียนต่อที่อเมริกาเพียงลำพังโดยไม่บอกครอบครัว  ด้วยพรสวรรค์ด้านการออกแบบ เขาได้รับการยอมรับอย่างรวดเร็วจากแบรนด์ต่างประเทศ และมีโอกาสฝึกงานกับ Marc Jacobs  อย่างไรก็ตามเทพเจ้าแห่งโชคไม่ได้มาในเวลานี้ เพราะค่าแรงงานไม่สามารถจุนเจือค่าครองชีพในนิวยอร์กได้ พลพัฒน์ อัศวะประภา อดมื้อกินมื้ออยู่เสมอ แต่เขาก็ไม่บ่นกับชีวิต กลับรู้สึกขอบคุณ "หากย้อนคิดกลับไปตอนนี้ ประสบการณ์นั้นล้ำค่าจริง ๆ มันทำให้ผมได้รับประสบการณ์มากมาย และเข้าใจตัวเองมากขึ้น ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ผมทำตามความฝันอย่างบ้าคลั่ง”

หลังจากผ่านชีวิตที่พลิกผันมาสิบปี พลพัฒน์ อัศวะประภา ได้สร้างแบรนด์เสื้อผ้า Asava ของตัวเองในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2551 และเปิดตัวคอลเลคชั่นของเขา  ด้วยแนวคิดการออกแบบหลักของคนเมือง เป็นผู้ใหญ่ ใช้งานได้จริง ดูฉลาดและซื่อตรง วิธีคิดเชิงปรัชญาจึงเปลี่ยนเป็นรายละเอียดและการตัดเย็บที่ประณีต แสดงให้เห็นถึงความงามของผู้หญิงในลักษณะที่เรียบง่ายและสง่างาม ได้สร้างคลาสสิกเหนือกาลเวลา และสไตล์ที่มั่นใจให้กับวงการแฟชั่นไทย

ปัจจุบัน แบรนด์ ASAVA ได้รับความสนใจจากผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่นางสาวไทยไปจนถึงนักร้องหญิงชาวไทยที่โด่งดังไปทั่วโลกอย่าง ลิซ่า และวงเกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีอย่าง (G)I-DLE ต่างก็สวมเสื้อผ้าแบรนด์ ASAVA พลพัฒน์ อัศวะประภา เชื่อเสมอว่าความงามที่แท้จริงไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการอยากได้รับความสนใจ ความมั่นใจในตนเองและตัวตนที่แท้จริงมาจากประสบการณ์เฉพาะบุคคลและความงามภายใน  พลพัฒน์ อัศวะประภา  ยังใช้ทั้งชีวิตเพื่อความหลงใหลที่มีต่ออุตสาหกรรมแฟชั่นตลอดกาล

 

ManGu: คุณมีความผูกพันกับการออกแบบอย่างไร?

หมู พลพัฒน์: ดูเหมือนว่าผมจะสนใจแฟชั่นมาตั้งแต่เด็ก และผมก็ตั้งใจเก็บสะสมหนังสือแฟชั่น พอจบม.6จึงได้ซื้อผ้าจากจีนและนำกลับมาไทย เพื่อดัดแปลง และฝากขายที่สยามสแควร์ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ลองออกแบบเสื้อผ้าขาย ต่อมาผมเข้ามหาวิทยาลัย และครอบครัวหวังให้ผมกลับบ้านเพื่อช่วยธุรกิจหลังเรียนจบ ผมจึงสมัครเข้าคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่นี่เป็นวิชาเอกที่มีการแข่งขันสูง ซึ่งผมไม่ต้องแข่งกับใคร รู้สึกสบายใจ และค้นพบว่าตนเองชอบเรียนศาสตร์ต่างๆ ชอบศิลปะการแสดงละครเวที ชอบศาสตร์ วิธีคิด และปรัชญา ดังนั้นผมจึงเปลี่ยนไปเรียนวิชาเอกการแสดงในมหาวิทยาลัยปีที่ 3

อันที่จริง ตั้งแต่ผมยังเรียนอยู่ ผมตระหนักว่าผมไม่เหมาะกับธุรกิจครอบครัว และผมต้องการใช้ชีวิตที่ผมชอบจริงๆ หลังจากเรียนจบปริญญาโท และกลับมาประเทศไทย จึงมีโอกาสได้เรียนวาดภาพกับจิตรกรภาพประกอบชื่อดังของเมืองไทย หลังจากเรียนวาดภาพจบ ผมจึงไปสหรัฐอเมริกาเพียงลำพัง แอบขายบ้านที่พ่อแม่ซื้อให้เพื่อเรียนที่ลอสแองเจลิส และบินไปนิวยอร์กเพื่อสมัครเข้าเรียนที่ Parsons School of Design เนื่องจากพ่อแม่ของผมไม่ทราบว่าเดินทางไปนิวยอร์ก พวกเขาคิดว่าผมหายไป และในที่สุดก็พบผมโดยตรวจสอบบันทึกการใช้บัตรเครดิต

 

ManGu: คุณเริ่มทำงานด้านแฟชั่นอย่างเป็นทางการหลังจากจบการศึกษาจาก Parsons School of Design ในนิวยอร์กเลยหรือไม่?

หมู พลพัฒน์: การทำงานในอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นความฝันของผม แต่ธุรกิจของครอบครัวยังคงกีดกั้นไม่ให้ผมทำตามความฝัน ตอนเรียน ช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดคือได้ทำในสิ่งที่ชอบ ลองท้าทายตัวเองอยู่เรื่อยๆ ว่าจะทำได้ไหม และสุดท้ายก็ทำออกมาได้ดี ผมคิดว่าผมเกิดมาเพื่อการออกแบบ อาจารย์ผมชอบงานของผมด้วย ดังนั้นเขาจึงแนะนำให้ผมส่งผลงานไปที่ Marc Jacobs เพื่อโอกาสในการฝึกงาน ผมส่งไป และไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับเร็วขนาดนี้
ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะความมุ่งมั่น ผมเปิดหนังสือดู ว่าผมอยากมีชีวิตแบบไหนและอะไรทำให้ผมอยู่ในสิ่งที่ผมรักแล้วมีความสุข โดยไม่คิดถึงความลำบาก ขณะที่ผมฝึกงานที่Marc Jacobs ไม่ว่าจะโดนใช้งาน หรืออดข้าว อดน้ำ หรือโดนให้ทำในสิ่งที่ไม่ควรจะทำ แต่เนื่องจากเบี้ยเลี้ยงไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพในมหานครนิวยอร์ก  ทำให้ผมต้องย้ายออก อยู่ตึกที่ราคาถูกลง เป็นตึกเก่าไม่มีลิฟต์ ทำให้ผมได้ประสบการณ์ชีวิตมากที่สุด ได้เรียนรู้ตัวเองมากที่สุด และผจญภัยมากที่สุด

ManGu: คุณใช้ชีวิตแบบนี้มานานแค่ไหน? หลังจากฝึกงานกับ Marc Jacobs คุณไปที่ไหนต่อ?

หมู พลพัฒน์: ประมาณ 11 ปี หลังจากลาออกจากการฝึกงานที่Marc Jacobs ผมกลายเป็นนักออกแบบอิสระให้Amani และได้รับโอกาสไปทำงานที่มิลาน ประเทศอิตาลี ได้รับการสนับสนุนจากเจ้านายที่อิตาลี ช่วงนั้นผมเป็นดีไซน์เนอร์เต็มตัว ซึ่งMax Mara เหมือนที่ปรึกษาด้านศิลปะในชีวิตของผม ทำให้ผมเข้าใจว่า “อุตสาหกรรมแฟชั่น” คืออะไร เข้าใจงานออกแบบ งานตัดเย็บ กระบวนการทำงาน และขั้นตอนการทำงานที่เป็นระบบ ทำให้เรียนรู้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก หลังจากสเก็ตงานบนกระดาษสเก็ต จากการสเก็ตไปอยู่บนร้านและขายของถึงมือลูกค้า

 

ManGu: หลังจากช่วงนี้คุณกลับไทยไปสร้างแบรนด์ของตัวเองเลยหรือไม่?

หมู พลพัฒน์: ผมกลับเมืองไทยแต่ผมยังไม่ได้เริ่มธุรกิจในทันที ขณะนั้นเศรษฐกิจของประเทศไทยไม่ค่อยดีนัก พ่อผมก็แก่แล้ว พี่สาวผมอยู่ที่อเมริกา บริษัทประสบปัญหา พี่ชายต้องการให้ผมกลับมาช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว ผมทำงานเป็น CEO ของ Toyota Motor Agency ในประเทศไทยเป็นเวลาสามปี มีสุภาษิตไทยว่า "ปลาอยู่ผิดน้ำ คนอยู่ผิดที่" ผมรู้ว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ เมื่อกิจการที่บ้านดีขึ้น ผมจึงตัดสินใจเปิดกิจการของตัวเอง

ManGu: ในช่วงเริ่มต้นของธุรกิจ ลูกค้ากลุ่มแรกมาจากไหน?

หมู พลพัฒน์: เมื่อผมเริ่มธุรกิจครั้งแรก เมื่อผมไปซื้อผ้าไม่มีใครสนใจผม เพราะพวกเขาไม่คิดว่าผมเป็นนักออกแบบ แต่มีคนพาผมไปซื้อผ้า และได้รับความไว้วางใจจากพวกเขา เสื้อผ้า 20 ตัว ทำได้ภายในหนึ่งเดือยเพื่อขายในสยามสแควร์ ต่อมาเราเริ่มเข้าร่วมแฟชั่นโชว์ใหญ่ๆ สร้างผลงานของตัวเอง และส่งภาพถ่ายสินค้าไปยังนิตยสาร ตอนนี้เราได้เปลี่ยนจากร้านที่ผลิตเสื้อ 20 ตัวต่อเดือน มาเป็นแบรนด์ที่ทำเสื้อ 20,000-30,000 ตัวต่อเดือน รวมถึงรับสั่งตัดชุดทุกประเภท

 

ManGu: ที่มาของชื่อแบรนด์ "ASAVA" คืออะไร?

หมู พลพัฒน์: ตอนที่ผมยังทำงานอยู่ที่อเมริกา ผมใช้ชื่อ " P.ASAVA " ตอนนั้นผมคิดไว้ว่าถ้าวันหนึ่งผมอยากจะสร้างแบรนด์ของตัวเอง ผมจะใช้ชื่อ "ASAVA" เพราะนี่คือนามสกุลของผมซึ่งแปลว่า "กิเลส" ในทุกบริบทจะมีความหมายกับชีวิตผม นอกจากนี้ผมยังมีร้านอาหารชื่อ "SAVA" ตั้งชื่อตาม "ASAVA" ซึ่งแปลว่า "สบายดีไหม" ในภาษาฝรั่งเศส

ManGu: แนวคิดการออกแบบของแบรนด์ ASAVA คืออะไร?

หมู พลพัฒน์: ตอนที่ผมทำงานในสหรัฐอเมริกา ผมศึกษาทุกอย่างเกี่ยวกับบริบทและเสื้อผ้าของผู้หญิง เสน่ห์ของผู้หญิงไม่ควรถูกจำกัด ไม่ว่าจะเป็นอาชีพ รูปร่าง สไตล์ หรือสีผิว ทุกคนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ผมต้องการสร้างเสื้อผ้าที่เข้ากับบุคลิกและตัวตนของพวกเขา ดังนั้นหลังจากก่อตั้ง ASAVA ผมจึงมีแนวคิดการออกแบบหลักคือชีวิตในเมือง ดูเป็นผู้ใหญ่ ใช้งานได้จริง ฉลาด และซื่อตรง

 

ManGu: ตอนนี้ ASAVA ผลิตและออกแบบเสื้อผ้า คุณจะยังมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการผลิตหรือไม่?

หมู พลพัฒน์: แน่นอน 100% ตราบใดที่ผลิตโดย ASAVA ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ เทียน พรม เสื้อผ้า ยังไงก็ต้องผ่านตา ผม โชคดีมากที่ผมมีทีมที่ยอดเยี่ยม ASAVA จะไม่สามารถมาถึงจุดนี้ได้หากไม่มีทีมที่ดี

ManGu: ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีศิลปินที่มีชื่อเสียงหลายคนมาหาคุณเพื่อให้คุณออกแบบเสื้อผ้า เช่น LISA และ (G)I-DLE คุณคำนึงถึงสิ่งใดบ้างเมื่อปรับแต่งเสื้อผ้าสำหรับพวกเขา?

หมู พลพัฒน์: อันที่จริง ตอนที่ YG Entertainment ติดต่อผมมาตอนแรก ผมไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการให้ผมออกแบบเสื้อผ้าให้ลิซ่า พวกเขาบอกผมถึงสิ่งที่พวกเขาต้องการ และเราก็แสดงให้เห็น ชุดของลิซ่าตัดเย็บด้วยมือและรูปแบบของชุดยังใช้ลายโลหะโบราณของจังหวัดลำพูน ประเทศไทย ผสมผสานศิลปะสมัยใหม่และงานฝีมือแบบไทยโบราณ เน้นว่าไม่ได้ขายเสื้อผ้า แต่ขายกระบวนการคิด ผมพยายามสื่อสารกับลูกค้าและออกแบบเสื้อผ้าให้เข้ากับไอเดียของพวกเขา เมื่อรวมกันแล้วจะทำให้เกิดความสวยงาม ดังนั้นผมจึงชอบที่จะออกแบบเสื้อผ้าให้กับคนที่มีจิตวิญญาณเดียวกัน

 

ManGu: ธุรกิจของคุณได้รับผลกระทบในช่วงโควิด-19ระบาดหรือไม่? และหลังจากการแพร่ระบาด คุณมองเห็นพัฒนาการของเทรนด์แฟชั่นในอนาคตอย่างไร?

หมู พลพัฒน์: ในระยะเวลา 3 ปีที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทุกคนมีผลกระทบไม่มากก็น้อย และทุกคนกำลังคิดว่าจะอยู่รอดอย่างไร โชคดีที่ตอนนี้ทุกคนรอดชีวิตมาได้ ระยะเวลาสามปีนี้ได้เปลี่ยนความคิดของผู้คน และตอนนี้ผู้คนเริ่มเข้าใจความหมายของคำว่า "ยั่งยืน" มากขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับสุขภาพของตนเอง และการปกป้องสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ วิถีชีวิตและวิธีคิดของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แน่นอน แฟชั่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน ในช่วงโควิด-19ระบาด ผู้คนเบื่อเสื้อผ้าที่ใส่อยู่บ้าน ตอนนี้พวกเขาชอบเสื้อผ้าที่สีสันสดใสและมีชีวิตชีวา ซึ่งทำให้ชีวิตสนุกมากขึ้น

ManGu: ตอนนี้คุณมองว่าตัวเองเป็นนักออกแบบหรือนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้วหรือไม่?

หมู พลพัฒน์: หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ยังเด็ก ผมไม่เคยลงเป้าหมายที่ไหน ครอบครัวของผมเป็นนักธุรกิจ ซึ่งพวกเขาอาจมองว่าผมเป็นนักออกแบบ แต่ในโลกของศิลปะ นักออกแบบอาจมองว่าผมเป็นนักธุรกิจ ผมไม่รู้สึกว่าผมตกอยู่ในบทบาทไหน ไม่จำกัดตัวเองว่าเป็นอะไร เพราะผมเป็นทุกอย่างที่ผมอยากเป็น เป็นทุกอย่างที่ผมมีความสุข ผมเปิดรับ และน้อมรับคำติชม แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตผมคือ สิ่งอะไรที่ผมรู้สึกอยากทำ และผมทำแล้วมีความสุข ไม่ได้เบียดเบียนใคร ทำเพื่อสร้างคุณค่าให้กับชีวิตตัวเอง ครอบครัวผม และสังคมที่ผมอยู่ นี่แหละชีวิตของฉัน

 

ManGu: คุณทำอย่างไรให้ชีวิตและเวลาทำงานสมดุลกัน?

หมู พลพัฒน์: ทุกอย่างจัดสรรด้วยตัวของมันเอง เพียงแต่ผมต้องมีวินัย มีบางวันที่ผมไม่อยากทำ รู้สึกเหนื่อย แต่คุณพ่อสอนผมหนึ่งข้อเสมอ “That’s no free lunch (ไม่มีอะไรในโลกได้มาฟรี)” ทุกอย่างล้วนมีราคาที่ต้องจ่าย ดังนั้นเราจึงต้องลงแรงเป็น 2 เท่าของคนอื่นในเวลาเท่ากัน แน่นอนว่าชีวิตแบบนี้เต็มไปด้วยความกดดัน แต่ผมสนุกกับความกดดันนี้มาก เพราะผมรู้ว่านี่คือความหมายของชีวิตที่ผมรู้สึกเห็นคุณค่าชีวิตมากขึ้น

ManGu: สุดท้ายนี้มีอะไรเพิ่มเติมอยากบอกกับผู้อ่านชาวจีนไหม?

หมู พลพัฒน์: ก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 เราโชคดีที่ได้จัดแสดงที่งาน Shanghai Fashion Week ตอนนั้นเรากำลังมองหาตัวแทนและพาร์ทเนอร์ในจีน ตอนนี้ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติแล้ว ผมเชื่อว่า ลูกค้าชาวจีนจะเห็นเรามากขึ้นในอนาคต

 

Thank you.

คุณพลพัฒน์ อัศวะประภา (หมู) / Polpat Asavaprapha (Moo)

 

Photographer : Luttsit Thongbansai @bellr_blackroom 
Graphic Designer : Natchaphol Jin Srijun @Banshy.j
Coordinator : Natruja Ming @fahnrj /
Nichakan Kamkunsri @Princeyangyang 
Column Writer : Zou SiYi @joy_zz97

You can share this post!

MANGU E-Magazine Cover Story Issue 254 (15th April 2023) พบกับบสัมภาษณ์ "จ๋า อลิสา พันธุศักดิ์ คุนผลิน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ทีพีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด

MANGU E-Magazine Cover Story Issue 252 (15th March 2023) พบกับบทสัมภาษณ์ คุณพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาแห่งประเทศไทย